crowsoda
Blogger นี้ สร้างมาเพื่อช่วยเผยแพร่บทความที่หน้าสนใจ เกี่ยวกับศาสนาอิสลาม ซึ่งผมได้นำมาจากผู้ที่เขียนบทความหลายๆท่าน ซึ่งผมจะให้ เครดิต แหล่งที่ผมเอามานำเสนอต่อครับ ถือว่าเป็นอีกช่องทางที่จะทำให้ผู้คนได้รับได้อ่านบทความดีๆทั่วถึง
วันจันทร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558
วันจันทร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558
อิสลามเข้ามาแทนที่คาทอลิกในฐานะศาสนาที่มีผู้นับถือมากที่สุดในโลกแล้ว
อิสลามเข้ามาแทนที่คาทอลิกในฐานะศาสนาที่มีผู้นับถือมากที่สุดในโลกแล้ว

แปลโดย
วาริษาฮ์ อัมรีล
วาติกัน (รอยเตอร์)
- อิสลามเข้ามาแทนที่คาทอลิกในฐานะศาสนาที่มีผู้นับถือมากที่สุดในโลกแล้ว, จากการเปิดเผยของวาติกันเมื่อวันอาทิตย์ที่ 30 มีนาคม 2008 (แต่หากรวมศาสนาคริสต์ทุกนิกายก็ยังมากกว่าอิสลามอยู่ดี
- ผู้แปล)
Monsignor
Vittorio Formenti ซึ่งเป็นผู้รวบรวมหนังสือสถิติปี
2008 ของวาติกันที่เพิ่งออกวางตลาด กล่าวว่า
จำนวนชาวมุสลิมในปัจจุบันคิดเป็นร้อยละ 19.2 ของประชากรโลก
ส่วนชาวคาทอลิกมีราวร้อยละ 17.4 ของประชากรโลก
"นี่ถือว่าเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่เรามิได้เป็นที่หนึ่งอีกต่อไปแล้ว:
จำนวนชาวมุสลิมล้ำหน้าเราไปแล้ว" Formenti ให้สัมภาษณ์ L'Osservatore Romano หนังสือพิมพ์ของวาติกัน
เขาบอกว่าตัวเลขดังกล่าวเป็นของปี 2006
เขากล่าวว่า
แต่หากรวมคริสต์ทุกนิกายทั้งแองกลิเคิน ออร์โธดอกซ์ และโปรแตสแตนท์
ชาวคริสต์จะมีราวร้อยละ 33 ของประชากรโลก หรือราว 2 พันล้านคน
วาติกันคาดว่ามีชาวคาทอลิกทั่วโลก
1.13 พันล้านคน แต่มิได้บอกตัวเลขจำนวนชาวมุสลิมไว้
ซึ่งโดยทั่วไปคาดกันว่ามีประมาณ 1.3 พันล้านคน
Formenti กล่าวว่าอัตราชาวคาทอลิกต่อประชากรโลกยังคงเท่าเดิม
แต่ชาวมุสลิมมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเพราะอัตราการเกิดสูง.
ฟาติมาสาร – CHURCHES FOR SALE (เสนอขายโบสถ์)
วิกฤติเศรษฐกิจในยุโรปและอเมริกายังคงพ่นพิษไม่หยุด
จำนวนบริษัทที่ต้องปิดกิจการรวมถึงคนตกงานยังอยู่ในอัตราที่สูง
ขณะที่วิกฤติความเชื่อต่อคริสต์ศาสนาในยุโรปและอเมริกา ก็ย่ำแย่ไม่แพ้เศรษฐกิจ
อัตราคนไม่เชื่อพระเจ้าและไม่มีศาสนาสูงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเป็นแบบนี้ โบสถ์คริสต์ก็ไม่มีคนไปร่วมพิธี
ประกอบกับเศรษฐกิจตกต่ำส่งผลกระทบต่อค่าใช้จ่ายของโบสถ์
ผลที่ตามมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ก็คือ “การประกาศขายโบสถ์” เกิดขึ้นเยอะมากในยุโรปและอเมริกา
ที่มา http://www.ansorimas200.blogspot.com/2013/07/blog-post_155.html?m=1
วิทยาศาสตร์เบื้องหลัง “ฮิญาบ”
วิทยาศาสตร์เบื้องหลัง
“ฮิญาบ”
การ สวมฮิญาบ
เป็นหน้าที่ทางด้านศีลธรรมในอิสลามที่ถูกนำมาอภิปรายอยู่บ่อยครั้งท่ามกลาง
บรรดาสตรีมุสลิม
แต่มีน้อยคนนักที่จะกล่าวถึงเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ในเรื่องการคลุมฮิญาบ
การสวมฮิญาบมีผลประโยชน์มากมายทั้งต่อด้านสุขภาพร่างกาย ศีลธรรม และสังคม
นอกจากนี้ จากการศึกษาค้นคว้าวิทยาศาสตร์ด้านบุคลิกภาพ
ยังได้ค้นพบผลประโยชน์อื่นๆอีกมากมาย ที่แสดงให้เห็นว่า
การสวมฮิญาบเป็นเครื่องแต่งกายที่ดีที่สุดสำหรับสตรี
นักวิจัยค้นคว้าวิทยา
ศาสตร์ด้านการแพทย์ได้ให้ทัศนวิสัยด้านสุขภาพว่า
การปกป้องศรีษะเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับมนุษย์
เพราะจากการทดสอบทางการแพทย์ค้นพบว่า 40-60 % ของความร้อนในร่างกาย จะสูญเสียออกไปผ่านทางศรีษะ
ดังนั้นผู้ที่สวมผ้าคลุมหรือฮิญาบในช่วงฤดูหนาว
จะได้รับการปกป้องจากความหนาวย็นมากกว่าคนที่ไม่ได้ใส่ถึง 50%
แต่ในตำราด้านการแพทย์ ของชาวจีนและมุสลิม
ได้ให้ข้อมูลที่มีรายละเอียดมากขึ้น เช่น ในตำรา ฮัว ดิ เนีย จิง( Hua Di
Nei Jing) (อายุรศาสตร์ภายในแบบดั้งเดิมของจักรพรรดิเหลือง )
ได้กล่าวไว้ว่า ลมเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน ภายในร่างกาย
ทำให้เกิดการสั่นสะเทือน และการเคลื่อนไหวขึ้นๆลงๆ และการเคลื่อนไหวอื่น ๆ
ที่ส่งผลทำให้สูญเสียความสมดุลของร่างกาย และเป็นสาเหตุทำให้มีสุขภาพที่ไม่ดี
จากตำราข้างต้นนี้
สามารถให้เหตุผลได้ว่าไข้หวัดทั่วไป มีปัจจัยมาจาก การที่ลมเข้าสู่ร่างกาย
และส่งผลทำให้เกิดอาการดังต่อไปนี้ตามมา เช่น อาการจาม น้ำมูกไหล ในตำราด้านการแพทย์ของอิสลาม
“อัลญาซิฮ์ยา” ก็เช่นเดียวกัน
ได้มีการอ้างอิงถึงสี่ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อร่างกายมนุษย์ คือ ไฟ น้ำ อากาศ
และดิน นอกจากนี้ยังได้กล่าวถึงวิธีการที่ปัจจัยเหล่านี้มีผลต่อร่างกายในรูปแบบ
ต่างๆไว้ด้วย จะเห็นหลายๆคนโดยเฉพาะเด็กมักจะได้รับคำแนะนำให้อยู่ห่างจากกระแสลม
ปกป้องศรีษะจากลม สายลม กระแสลม และ สภาพอากาศที่หนาวเย็นอยู่บ่อยๆ
วิทยาศาสตร์แนะนำ พนักงานกลางแจ้ง
ควรสวมผ้าปกปิดศรีษะ การปกป้องศรีษะเป็นสิ่งสำคัญมากเช่นกัน ในสภาพอากาศที่อบอุ่น
วี.จี. รอซีน นักวิจัยผู้เชี่ยวชาญด้านสมองที่เก่งที่สุด ได้ค้นพบว่า
ธาตุฟอสฟอรัสในสมองของมนุษย์ จะละลายที่อุณหภูมิ 108 องศา
ซึ่งเป็นอุณหภูมิที่จะมีผลกระทบต่อสมองของมนุษย์
หากพวกเขาอยู่ภายใต้ดวงอาทิตย์ที่ร้อนเป็นระยะเวลานาน โดยไม่มีผ้าคลุมศรีษะ
เมื่อศรีษะได้รับความร้อนที่มากเกินไป จะส่งผมทำให้เกิดความเสียหายในสมอง สูญเสียความทรงจำ
และสูญเสียการทำงานของสมองบางส่วนไป
ไม่ใช่แค่อุณภูมิสูงเท่านั้นที่ส่งผลให้เกิดความเสียหายในสมอง
แม้แต่ในองศาที่มีขนาดเล็ก ถ้ามีการสัมผัสบ่อยๆ
และปล่อยให้ศรีษะเจอความร้อนที่มากเกินไป
เบอร์นาร์ด เจนเซ่น แพทย์ไม่พึ่งยา และ
หมอนวดบำบัด ได้กล่าวว่า ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะ สมองทำงานอยู่บนแร่ฟอสฟอรัส
ซึ่งถ้าศรีษะสูญเสียแร่ฟอสฟอรัสเนื่องจากความร้อน
สมองก็จะได้รับผลกระทบจากความร้อนเช่นเดียวกัน
ผลประโยชน์ของฮิญาบด้านสุขอนามัย :
คนงานทุกคนที่ทำงาน
ด้านการรับใช้สังคมควรจะสวมผ้าคลุม หรือ ปกปิดศรีษะ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับคนอื่นในเรื่อง
สุขอนามัยและการรักษาความสะอาด จะเห็นว่าคนงานมืออาชีพในสังคมส่วนมากจะสวมใส่
" ผ้าคลุมศรีษะ " เช่น พยาบาล พนักงานอาหารฟาสท์ฟูด
และพนักงงานอาหารสำเร็จรูป พนักงานร้านอาหาร และบริการ แพทย์
ผู้ให้การดูแลด้านสุขภาพและ พนักงานอื่น ๆ อีกมากมาย แท้ที่จริงแล้ว
เมื่อเราเปรียบเทียบจำนวนของพนักงานที่คลุมศรีษะ กับพนักงานที่ไม่ได้คลุมศรีษะ
จะพบว่า จำนวนผู้คลุมศรีษะมีมากกว่าคนที่ไม่คลุมศรีษะเสียอีก
เพราะการคลุมศรีษะในหลายๆที่เป็นการสร้างความมั่นใจให้ลูกค้าและผู้ใช้
บริการได้ดีกว่า
การคลุมฮิญาบ
บางครั้งเป็นการรับใช้ศาสนาอย่างหนึ่ง คือ
เป็นการย้ำเตือนผู้หญิงให้ทำหน้าที่ทางศาสนาของพวกเขาและ
เป็นตัวบ่งบอกพฤติกรรมของพวกเขา นอกจากนี้การคลุมฮิญาบ
ยังทำหน้าที่รับใช้ศาสนาเพื่อเป็นการเตือนสติให้ผู้หญิงรู้ว่า
การคลุมฮิญาบไม่ใช่มีผลดีต่อเธอคนเดียว แต่เมื่อสวมแล้วเธอยังเป็นตัวแทน
และเป็นทูตแห่งอุมมะฮ์(ประชาชาติ)ของพระเจ้าด้วย
ผลการวิจัย ในรัฐควิเบกยัน
ฮิญาบไม่ก่อปัญหาต่อสังคม,หลังหญิงที่สวมใส่มักถูกกีดขวางในการทำงาน มีรายงานว่า
ผลการวิจัยเกี่ยวกับผู้อพยพในรัฐควิเบก ประเทศแคนาดาใน 1 ปี
ชี้ให้เห็นว่าฮิญาบไม่ก่อปัญหาต่อสังคมควิเบก
และพวกเขาได้เลือกที่จะสวมใส่ฮิญาบด้วยความสมัครใจของตนเอง
ผลการวิจัยนี้ได้ชี้ให้เห็นว่า
การกีดกันในการสวมใส่ฮิญาบในรูปแบบอิสลามจะมีผลเสียในสังคมเป็นอย่างมาก
และชี้ให้เห็นอีกว่ามีการเลือกปฏิบัติกับสตรีที่สวมใส่ฮิญาบโดยสตรีที่สวมใส่ฮิญาบต้องทนทุกข์ทรมานกับการที่จะต้องถูกกีดขวางในการหางาน
เพราะผู้จ้างมักจะมีความหวาดกลัวที่จะจ้างสตรีที่สวมใส่ฮิญาบ
นอกจากนี้ นักวิจัยยังได้เน้นอีกว่า
กฏนานาชาติและกฏหมายในรัฐควิเบก ได้ให้เสรีภาพในการนับถือศาสนาอย่างเป็นทางการแล้ว
และการที่สตรีมุสลิมจะรักษาฮิญาบของตนเองในเงื่อนไขของกฏหมายเหล่านี้
ถือเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
ที่มา http://www.ansorimas200.blogspot.com/2013/07/blog-post_23.html?m=1

ทำไมมุสลิมไปมัสยิดเยอะจัง ในขณะที่โบสถ์คริสต์ในทุกวันนี้แทบจะว่างเปล่าไปแล้ว
ทำไมมุสลิมไปมัสยิดเยอะจัง
ในขณะที่โบสถ์คริสต์ในทุกวันนี้แทบจะว่างเปล่าไปแล้ว

คุณพ่อ Michel Le Long บิชอปคาทอลิก ประเทศฝรั่งเศส
ฝรั่งเศส:
บิชอปจัดประชุมพิเศษถกกันว่าทำไมมุสลิมไปมัสยิดเยอะจัง
Mosque Attending
Puzzles French Bishops
ปารีส, ฝรั่งเศส -
กลุ่มบิชอปคาทอลิกได้จัดการประชุมเพื่อถกกันว่าทำไมมัสยิดถึงมีศาสนิกไปละหมาดกันเยอะจัง
ในขณะที่โบสถ์คริสต์ในทุกวันนี้แทบจะว่างเปล่าไปแล้ว
"สิ่งที่เกิดขึ้น (คนไปโบสถ์น้อย) ไม่ใช่เรื่องใหม่ในฝรั่งเศส" คุณพ่อ Michel Le
Long กล่าวกับ IslamOnline.net เมื่อวันเสาร์ที่ 18 ส.ค.
ในการประชุมเรื่องอิสลามที่จัดโดยโบสถ์คริสต์
"เรื่องนี้ต้องโทษความขัดแย้งในอดีตระหว่างรัฐบาลกับคริสตจักร
ที่ส่งผลให้คริสตจักรแทบไม่มีบทบาทและอำนาจใดๆ เลย"
Le Long ยังโทษลักษณะสังคมของฝรั่งเศสที่เป็นเซคคูลาร์ (secular เน้นทางโลก)
"ในระบบเซคคูลาร์, ศาสนา, โดยเฉพาะศาสนาคริสต์, ยิ่งกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยที่ไม่สำคัญของสังคมไปซะ"
บิชอปเกือบ 40 คนทั่วประเทศฝรั่งเศสได้เข้าในการประชุมเป็นระยะเวลา
7 วัน เริ่มต้นเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2007 ที่ผ่านมา
"เรื่องที่เราถกกันก็คือ
ทำไมมัสยิดมีคนไปละหมาดเต็มตลอด ในขณะที่โบสถ์คริสต์ไม่ค่อยมีคน
แม้กระทั่งในวันอาทิตย์ซึ่งเป็นวันสำคัญที่สุด" Christophe
Roucou หัวหน้าแผนกความสัมพันธ์มุสลิม-คริสเตียนของคริสตจักรคาทอลิกฝรั่งเศส
กล่าวกับหนังสือพิมพ์ Le Monde ของฝรั่งเศส
ฝรั่งเศสมีประชากรมุสลิมราว 6 ล้านคน
เป็นประเทศที่มีมุสลิมมากที่สุดในยุโรป
เด็กมุสลิมรุ่นใหม่ในฝรั่งเศส
บิชอปหลายคนที่เข้าร่วมประชุมกล่าวว่าเด็กมุสลิมรุ่นที่สองและสามซึ่งถือกำเนิดในฝรั่งเศสและอยู่ในวัฒนธรรมเซคคูลาร์กลับกลายเป็นพวกที่ไปมัสยิดเยอะมากๆ
"ทั้งๆ
ที่พวกเขาส่วนใหญ่แล้วไม่ค่อยรู้ภาษาอารบิกเหมือนรุ่นพ่อแม่ซะด้วยซ้ำ" บิชอป Jean
Philippe กล่าว "เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อในประวัติศาสตร์ฝรั่งเศสจริงๆ"
เขากล่าวว่าการเปลี่ยนมารับอิสลามของชาวฝรั่งเศสก็เป็นอีกข้อหนึ่ง
ประมาณว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมามีชาวฝรั่งเศสราว
50,000 คนหันไปรับอิสลาม
ที่ฝรั่งเศสมีมัสยิดและสถานที่ละหมาด 1,500 แห่ง
ส่วนใหญ่มีขนาดเล็ก ดังที่ถูกเรียกว่า "มัสยิดใต้ถุน" (เพราะในแถบที่สร้างมัสยิดไม่ได้หรือไม่มีตังค์สร้างมัสยิด
ชาวมุสลิมจะละหมาดกันในชั้นใต้ดินของตึก - ผู้แปล)
ชาวมุสลิมบ่นว่าสถานละหมาดที่มีในปัจจุบันคับแคบเกินไป
"เราต้องละหมาดวันศุกร์กันบนถนนเพราะมัสยิดล้น
ที่ไม่พอให้ยืน" มัมดู บราฮิม จากมัสยิดฟัตฮ์ในปารีสกล่าว
"พวกเจ้าของร้านค้าแถบมัสยิดก็บ่นสิ"
การเติบโตของอิสลามในยุโรปทำให้เกิดกระแสต่อต้านชาวมุสลิมมากมาย
รวมทั้งไม่ยอมให้สร้างมัสยิดใหม่ อย่างในฝรั่งเศส
มีสองคดีที่ศาลตัดสินไม่ให้ชาวมุสลิมสร้างมัสยิดขนาดใหญ่คือที่เมือง Montreuil และเมืองมาร์แซลส์
ที่มา: Mosque
Attending Puzzles French Bishops. Islamonline.net. 18 August 2007.
http://www.islamonline.net/servlet/Satellite?c=Article_C&cid=1187268392945&pagename=Zone-English-News/NWELayout
http://www.ansorimas200.blogspot.com/2013/07/blog-post_8466.html?m=1
โดย Hadi Yahmid, IOL Correspondent
แปลโดย วาริษาฮ์ อัมรีล

นักวิทยาศาสตร์ยอมรับ “นบีมูซา” เคยข้ามทะเลแดงจริงตามพระคัมภีร์ระบุ
นักวิทยาศาสตร์ยอมรับ “นบีมูซา” เคยข้ามทะเลแดงจริงตามพระคัมภีร์ระบุ

อาหรับนิวส์
ผลการศึกษาใหม่ระบุว่า
กระแสลมที่รุนแรงอาจทำให้เกิดปรากฎการณ์น้ำทะเลแยกออกเป็น 2 ข้างได้ เหมือนกับเรื่องราวในพระคัมภีร์
นักวิทยาศาสตร์ยอมรับ การข้ามทะเลแดงของ “นบีมูซา หรือโมเสส” ซึ่งถูกระบุในพระคัมภีร์เก่า (The Old
Testament) และคัมภีร์อัลกุรอาน
เคยเกิดขึ้นจริง
อย่างไรก็ตาม จุดที่นักวิทยาศาสตร์ทำการศึกษา “ปรากฏการณ์มหัศจรรย์” ดังกล่าวไม่ใช่ทะเลแดง
แต่เป็นบริเวณใกล้เคียงแถบดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์
นักวิทยาศาสตร์สหรัฐฯซึ่งศึกษาแผนที่โบราณของดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่
น้ำไนล์ ชี้จุดที่ท่านนบีมูซา(อ.)หรือโมเสสอาจพาชาวอิสราเอลข้ามทะเล
ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
นักวิทยาศาสตร์ระบุว่า
ในอดีตสาขาหนึ่งของแม่น้ำไนล์เคยไหลลงสู่ทะเลสาบ (lagoon)ซึ่งเรียกกันว่า
ทะเลสาบทานิส (Lake of Tanis)
จากการวิเคราะห์หลักฐานทางโบราณคดี ภาพถ่ายดาวเทียม และแผนที่
ทำให้นักวิจัยสามารถคาดเดาความลึกและการไหลของน้ำเมื่อ 3,000 ปีก่อน
จากนั้นจึงใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ทางสมุทรศาสตร์จำลองอิทธิพลของกระแสลมแรง
ที่พัดผ่านน้ำลึก 6 ฟุต ในยามค่ำคืน
นักวิจัยพบว่า ลมตะวันออกความเร็ว 63 ไมล์ต่อชั่วโมงที่พัดผ่านอย่างต่อเนื่องนาน 12
ชั่วโมง สามารถผลักดันให้น้ำไหลกลับเข้าไปในทะเลสาบและแม่น้ำ
ซึ่งจะทำให้เกิด
ช่องทางเดินยาว 2 ไมล์และกว้าง 3 ไมล์ ที่มีกำแพงน้ำอยู่ 2 ด้าน เป็นเวลา 4 ชั่วโมง
ทะเลแดง Red Sea
ทะเลแดง
ในอดีตเราพอจะรู้จักทะเลแดงได้จากเรื่องเราของศาสดามูซาที่พากลุ่มชน
บนีอิสรออีลข้ามทะเลแดงเพื่อหลบหนีการไล่ฆ่าของ ฟาร์โร
ทะเลแดง (อังกฤษ:
Red Sea ;อาหรับ: อัลบะฮฺรุ อัลอะฮฺมัร; ฮิบรู: Yam Suf) เป็นอ่าวในมหาสมุทรอินเดีย
แบ่งระหว่างทวีปแอฟริกากับทวีปเอเชีย
โดยทะเลแดงเชื่อมกับมหาสมุทรอินเดียที่อ่าวเอเดน (Gulf of Aden) ทะเลแดงมีความยาวประมาณ
1900 กิโลเมตร และกว้างประมาณ 300
กิโลเมตร ร่องทะเลที่ลึกที่สุดประมาณ 2,500 เมตร
และความลึกเฉลี่ยประมาณ 500 เมตร
ทะเลแดงมีชื่ออื่นคือ อ่าวอาระเบีย (Arabian Gulf) ซึ่งเรียกกันก่อนสมัยคริสศตวรรษที่ 20 ชื่อทะเลแดงไม่ได้หมายถึงสีของน้ำทะเล
แต่หมายถึงสีของแบคทีเรียชนิดหนึ่งบริเวณผิวน้ำ
ในอดีตทะเลแดงเคยเป็นเรื่องเล่าของทั้งศาสนาอิสลาม
คริสต์และยิวที่เกี่ยวการพาข้ามทะเลแดงของท่านนบีมูซา
เพื่อให้บรรดาชาวยิวหรือบนีอิสรออีลรอดพ้นจากการไล่ฆ่าของฟาร์โร
โดยท่านนบีมูซาได้เอาไม้เท้าตีที่น้ำตามบัญญัติที่อัลลอฮฺสั่งแก่ท่านนบีมูซา
และเป็นดั่งที่ท่านทราบพอเหล่าบรรดาสาวกของนบีมูซาข้ามมาได้นั้นอัลลอฮฺก็ได้ทำให้ทะเลกลับเป็นเหมือนเดิมทำให้กองทัพของฟาร์โรที่ตามมาต้องพินาศลง
และยังมีเรื่องเล่าอีกว่า
ทะเลแดงนี้ขึ้นชื่อเรื่องของฉลามที่ดุที่สุดเลยละ
ที่มา : http://www.thaimuslim.com
http://www.ansorimas200.blogspot.com/2013/07/blog-post_4425.html?m=1


สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)