อิสลามในยุโรป ความจริงกับการท้าทาย
ตอริก รอมฏอน
กว่ายี่สิบปีที่ผ่านมาได้มีการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่เกิดขึ้นท่ามกลางเยาวชนคนรุ่นใหม่ของมุสลิมที่อาศัยอยู่ในยุโรป
เมื่อกว่าห้าสิบปีที่แล้วมุสลิมส่วนมากเป็นผู้อพยพเพื่อแสวงหาโอกาสในการทำงาน
จากนั้นจึงวางแผนกลับบ้านหากสามารถทำได้
ส่วนใหญ่ของผู้อพยพรุ่นแรกมาจากครอบครัวสามัญชน
พวกเขาไม่ได้จัดการการศึกษาหาความรู้ในเรื่องอิสลามมากนัก
แต่พวกเขายังคงปฏิบัติศาสนกิจซึ่งได้รับการเน้นย้ำจากวัฒนธรรมเดิมของพวกเขา
ไม่ว่าจะเป็น อินเดีย-ปากีสถาน อาหรับแอฟริการเหนือ และชาวเติร์ก
จากการคาดว่าจะอาศัยอยู่เพียงชั่วคราว
ในช่วงแรกพ่อแม่พยายามปกป้องตัวเองจากบรรยากาศของความเป็นยุโรปที่ไม่คุ้นเคยมากกว่าการบูรณาการวิถีชีวิตเข้ากับพวกเขา
แต่ส่วนใหญ่ของผู้อพยพไม่ได้กลับบ้านเดิมของพวกเขา ลูกๆของพวกเขาถือกำเนิดในยุโรป
มีความชำนาญในภาษาประจำชาติและมีการศึกษาที่ดีกว่าคนรุ่นแรก
ความฝันที่จะกลับบ้านเหมือนพ่อแม่ได้เลือนหายไป
การปรากฏมุสลิมยุโรปรุ่นใหม่ทำเกิดการเปลี่ยนแปลงวิธีคิดวิธีพูดคุยเกี่ยวกับชุมชนมุสลิมที่อาศัยในดินแดนแห่งนี้
ปัจจุบันได้การปฏิวัติเงียบเกิดขึ้น
แนวคิดเดิมๆที่แบ่งโลกออกเป็นออกเป็นสองค่ายคือมุสลิมกับผู้มิใช่มุสลิมเป็นสิ่งที่ล้าหลังและจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนมุมมองเสียใหม่
รัฐธรรมนูญของยุโรปอนุญาตให้มุสลิมปฏิบัติศาสนาของพวกเขา
และเป็นสิ่งที่ควรจะได้ให้เกียรติกัน
หลักการศาสนาไม่ควรที่จะถูกทำให้เกิดความสับสนกับวัฒนธรรมดั้งเดิม มุสลิมยุโรปควรจะเป็นเพียงมุสลิมมากกว่าการเป็นอาหรับแอฟริกาเหนือ
ปากีหรือเติร์ก
ความเป็นพลเมืองจะต้องได้รับการส่งเสริมและจำเป็นจะต้องมีการสร้างวัฒนธรรมอิสลามยุโรป
แต่คำถามคือจะทำในรูปแบบใด
เพื่อให้หลักการอิสลามยังคงดำรงอยู่ขณะเดียวกันรับเอารูปแบบและรสนิยมแบบยุโรป
ทรรศนคติมักเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
องค์กรอิสลามต่างๆในพื้นฐาน
ได้สร้างสะพานเชื่อมและเร่งเร้าพลเมืองมุสลิมให้มีปากเสียง
ท่วงทำนองใหม่ได้รับการรับฟัง
แม้ว่าความพยายามและความกระตือรือร้นนี้จะเห็นได้เป็นการเฉพาะในประเทศที่มีมุสลิมเก่าแก่อาศัยอยู่
ปรากฏการณ์นี้ยังสามารถพบเห็นได้ในทุกแห่ง
แต่การท้าทายหลายอย่างยังคงดำรงอยู่และวันที่มุสลิมกับพลเรือนของพวกเขาสามารถอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืนกันยังคงห่างไกล
กำแพงอุปสรรคยังคงปรากฏอยู่ในชุมชนมุสลิมซึ่งจำเป็นจะต้องได้รับการฟื้นฟู
มุสลิมจำนวนมากต้องประสบกับเรื่องราวที่ผสมปนเป
ปัญหาบางด้านไม่ว่าจะเป็นการดูถูกดูแคลนทั้งเรื่องราวที่บ้านและที่ทำงานไม่ควรถูกมองว่าเป็นการ
“คุกคามอิสลาม” เพียงประการเดียว
แต่เป็นผลพวงจากนโยบายทางสังคมที่เราจะต้องรับมือด้วยตนเองเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
ในฐานะที่เป็นพลเมืองที่เรียกร้องสิทธิแห่งความเท่าเทียมกัน
เราจะต้องไม่ตกเป็นเหยื่อแห่งความคิด
รวมทั้งข้ออ้างที่ว่าโรคเกลียดกลัวอิสลามได้ขัดขวางพวกเราจากการเบ่งบาน
สิ่งนี้ขึ้นอยู่กับมุสลิมที่จะแบกรับหน้าที่หักล้างข้อกล่าวหา
เข้าร่วมการเสวนาทั้งในชุมชนมุสลิมด้วยกันเองและพลเรือนอื่นๆ
และปฏิเสธคิดโง่ที่แบ่ง “เรา กับ พวกเขา”
เราควรที่จะส่งเสริมค่านิยมพื้นฐานอันได้แก่ ความเท่าเทียม
ความยุติธรรมและการให้เกียรติกันภายใต้ “จริยธรรมแห่งการเป็นพลเมือง”
ร่วมกัน
เราจะต้องออกห่างจากการถูกล่อลวงด้วยการปิดตัวเองและโดดเดี่ยวตัวเองเป็นคนกลุ่มน้อย
และยิ่งกว่านั้นเราควรเสนอแก่กลุ่มที่แนวคิดสุดโต่งว่า
การเป็นมุสลิมที่เข้มข้นหมายถึงการต่อต้านยุโรปกระนั้นหรือ เราซึ่งเป็นมุสลิมแห่งยุโรปจำเป็นที่จะต้องกล้าวิพากวิจารณ์ตัวเอง
อย่างไรก็ตามพลเมืองที่มิใช่มุสลิมจำเป็นที่จะต้องมีความพยายามและให้ความร่วมมือด้วยเช่นเดียวกัน
พวกเขาจำเป็นจะต้องยอมรับความจริงที่ว่าประชากรของยุโรปได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว
ประวัติศาสตร์จะไม่เป็นประวัติศาสตร์เดียวอีกต่อไป
และการเรียกร้องของวันข้างหน้าในความเข้าใจและการให้เกียรติระหว่างกัน
พวกเขาต้องกล้าที่จะยอมรับความไม่รู้
และกล้าปฏิเสธอาการย้ำคิดย้ำทำตลอดจนอคติที่ห้อมล้อมอิสลาม
พวกเขาจะต้องถกเถียงในประเด็นหลักการพื้นฐาน
ค่านิยมและระเบียบแบบแผนที่จะทำให้สามารถอาศัยอยู่ร่วมกัน
การปรากฏของมุสลิมใหม่ได้ก่อให้เกิดชุดคำถามแก่พลเรือนของยุโรปอย่างที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
พวกท่านเตรียมพร้อมในการศึกษาประวัติศาสตร์ของอารยธรรมที่ปรากฏในชีวิตของพวกท่าน
และถือเป็นส่วนหนึ่งของพหุสังคมแล้วหรือไม่? ท่านเชื่อด้วยความจริงใจหรือไม่ว่า มุสลิมด้วยจิตวิญญาณ
จริยธรรมและการสร้างสรรของพวกเขาเป็นลักษณะด้านบวกที่จะสร้างสิ่งใหม่?
อนาคตของยุโรปที่มีมุสลิมเบ่งบานและการเปิดอัตลักษณ์ของความเป็นยุโรปจะเกิดขึ้นจากผู้คนทั้งหมดที่ยอมรับการท้าทายครั้งนี้
ซึ่งจะต้องวางรากฐานอยู่บนการวิพากษ์วิจารณ์ตนเองรวมทั้งการสานเสวนา
ยอมรับในความหลากหลาย และเน้นย้ำในค่านิยมพื้นฐานร่วมกัน
เส้นทางนี้เริ่มต้นจากการบูรณาการขั้นพื้นฐานไปสู่ความร่วมมืออย่างแน่นแฟ้น
โดยจำเป็นจะต้องใช้เวลา และเหนืออื่นใด เราจะต้องเริ่มต้นด้วยการไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกันหลัง
โดยเฉพาะหลัง 11 กันยา
ข้าพเจ้าคิดว่าสิ่งนี้เป็นความท้าทายสำคัญที่เรากำลังเผชิญ
http://www.ansorimas200.blogspot.com/2013/07/blog-post_3926.html?m=1



ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น