ประชาชาติที่ไม่กินหมู
ดังที่กล่าวมาแล้ว
ผู้ที่ไม่บริโภคสุกรหรือไม่กินหมูนั้นหาใช่แขกตามที่เข้าใจผิดๆ กันแต่ประการใดไม่
หากแต่เป็น “มุสลิม” อันหมายถึงผู้ที่ศรัทธา-นับถือในระบอบศาสนาอิสลาม
ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นชาติใด-เผ่าพันธุ์ใดก็ตาม เมื่อเขาเป็นมุสลิมเขาก็ต้อง
งดเว้นในการบริโภคสุกรหรือกินหมูตามบัญญัติที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์ อัล-กุรอ่าน
ความจริงนั้น ไม่เพียงแต่มุสลิมเท่านั้นที่ถูกห้ามในการบริโภคสุกร
แม้แต่ชาวยิวและชาวคริสต์ก็ได้ถูกห้ามไว้เช่นกันดังปรากฏจากพระคัมภีร์ไบเบิลทั้งฉบับเดิมและฉบับใหม่ดังนี้
11: 7-8 : และตัวหมู
เพราะหมูมีกีบแยกออกเป็นสอง แต่บดเอื้องไม่ได้ก็เป็นสัตว์ไม่สะอาดแก่ท่านทั้งหลาย
ท่านทั้งหลายอย่าได้กินหรือถูกต้องสัตว์เหล่านี้เลย
เป็นสัตว์ไม่สะอาดแก่ท่านทั้งหลาย
ในพระคริสต์ธรรมใหม่ฉบับขององค์การเดียวกันนี้ “มาระโก” 5 หน้า 103 (พระเยชูทรงขับผีโสโครกออก) ปรากฏในบัญญัติ
11-13 มีใจความว่าเหล่าปิศาจร้ายวอนจากพระเยชูให้มันได้สิงสู่อยู่ในเรือนร่างของหมูแทนการอัปเปหิออกจากเมืองไป
ซึ่งพระเยชูก็อนุมัติ ดังนั้น-หมูจึงเป็นรูปกายที่มีวิญญาณร้ายครองอยู่
ย่อมเป็นพิษ-เป็นภัยแก่ผู้คลุกคลีและบริโภคมัน
หมูจึงเป็นสัตว์ต้องห้ามของชาวคริสต์
อาจมีข้อแตกต่างที่สามารถมองเห็นได้ชัดอยู่ประการหนึ่ง
นั้นคือ
ทั้งชาวคริสต์และมุสลิมซึ่งต่างก็ถูกห้ามกินหมูโดยคัมภีร์ที่ประชาชาติทั้งสองต่างศรัทธา-ยึดมั่นเท่าเทียมกัน
เหตุไฉนชาวคริสต์จึงยังมีการกินหมูกันอยู่
ในขณะที่มุสลิมงดเว้นตามพระบัญชาอย่างเคร่งครัด
เป็นเพราะมุสลิมงมงายต่อคัมภีร์จนเลยเถิดกระนั้นหรือ? หามิได้ !
ในการคลี่คลายกรณีผิดแผกกันในเรื่องนี้อยากจะหยิบยกเอากฎหมายของบ้านเมืองมาเป็น
อาทิ
เพราะการที่ประชากรสองคนหรือสองกลุ่มมีการปฏิบัติไม่ตรงกันในตัวบทกฎหมายในลักษณะเดียวกัน
โดยฝ่ายหนึ่งละเมิดต่อกฎหมาย แต่อีกฝ่ายหนึ่งประพฤติ-ปฏิบัติไปตามตัวบทกฎหมาย
ไม่มีคนสติครบสมบูรณ์คนใดมีความเห็นว่าฝ่ายหลังงมงายต่อกฎหมาย
ส่วนฝ่ายใดจะตกอยู่ในสภาพใดนั้นขอให้วิจารณญาณชี้ชัดเอาเองเถิด
อุปมาฉันใด-ก็อุปไมฉันนั้น
ไม่ต้องรอคำตอบจากสวรรค์ไม่ว่าชั้นใด เชื่อว่าคงเป็นที่เข้าใจกันอยู่แก่ใจแล้วเป็นอย่างดี
การที่มุสลิมยึดมั่นต่อพระบัญชาของพระผู้อภิบาลหรือพระผู้เป็นเจ้าซึ่งพระนามว่า
อัลลอฮฺ สุบหานะฮู วะ ตะอาลา (อัลลอฮฺ สุบหฺฯ) อย่างเคร่งครัดคงเส้น-คงวา
และมั่นคงนั้นเห็นจะเป็นเพราะหลักเบื้องต้นของความศรัทธาคือ คำปฏิญาณของการเป็นมุสลิม
ที่ว่า
คำอ่าน : อัชฮาดุ อัน ลาอิลาฮะ อิลลัลลอฮฺ
วะอัชฮะดุ อันนะมุฮัมมะดัรฺ-เราะสูลุลลอฮฺ
แปลว่า : ฉันขอปฏิญาณว่า
ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ และฉันขอปฏิญาณว่า (นบี)มุหัมมัดเป็นผู้สื่อ (เราะสูล) ของอัลลอฮฺ
เมื่อมุสลิมปฏิเสธพระเจ้าจอมปลอมอื่นๆหมดเกลี้ยงเสียก่อน
ก่อนที่จะยอมรับการเป็นพระเจ้าอย่างเที่ยงแท้
เพียงพระองค์เดียว “อัลลอฮฺ” (ชาวคริสต์เรียกนามพระองค์ว่า “ยะโฮวา”) การศรัทธา (อีม่าน)
ต่อพระองค์จึงเป็นไปอย่างบริสุทธิ์และจริงจังอันใดเป็นพระบัญชาห้าม-ใช้ของพระองค์
มุสลิมย่อม ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดด้วยความยินยอมพร้อมใจด้วยสำนึกอันนอบน้อม
ดังกล่าวนี้อง
ได้สืบสัมพันธ์มายังคำปฏิญาณช่วงหลัง
ดังนั้น-วจนะและจริยวัตรของท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลฯ.
จึงเป็นสิ่งที่มุสลิมยึดมั่นปฏิบัติตามอย่างจริงจังด้วยความสมัครใจดังกล่าวบัญญัติอันเป็นหลักการของอิสลาม
จึงไม่มีวันเป็นหมันหรือมีสภาพตายซากโดยขาดการแยแสในการยึดถือปฏิบัติจากมุสลิมผู้มีสำนึกในความเป็นมุสลิมอย่างครบถ้วนและถูกต้อง
และบัดนี้เราได้ทราบแล้วว่าประชาชาติที่ไม่กินหมูตามหลักสรณะอันเป็นธรรมนูญประจำชีวิตนั้นมิใช่มีแต่มุสลิมเท่านั้น
เพระแม้แต่ชาวคริสต์แล้วชาวฮินดูวรรณะสูงๆ
ชาวจีนที่เชื่อลัทธิขงจื๊อ และชาวโซโรแอสเทรียนก็ไม่กินหมู สำหรับชาวพุทธนั้นไม่พูดถึง
เพราะการปรินิพานของพระพุทธองค์เนื่องจากการฉันท์เนื้อสุกรนั้น
แม้ว่านักปราชญ์ชาวพุทธบางท่านจะมีทัศนะว่า สุกรที่ว่า“ปาณาปาติบาตร”นั้นเป็นเรื่องที่ชาวพุทธจะได้ใคร่ครวญกันเอง
กระนั้นก็ดีสมควรที่เราจะได้ทำความรู้จักกับ “หมู” หรือ “สุกร”
ให้ดีเสียก่อน
ก่อนที่จะก้าวไปสู่ปัญหาที่ต้องการทราบ.
ที่มา : เรื่อง สาเหตุที่มุสลิมไม่กินหมู ตอน
ประชาชาติที่ไม่กินหมู
จาก นิตยสารคุณธรรม ฉบับที่ ** ประจำเดือน ** 2547
อิหม่ามในอิตาลีพิสูจน์ไวรัสไข้หวัดหมูจากคำสอนในอัลกุรอาน
การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสไข้หวัดหมูเป็นการพิสูจน์คำสอนของศาสนาอิสลามและในคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์
อัล กุรอาน อิหม่าม อมาเดีย ราชิด ในอิตาลี เมืองซาเลอ กล่าว
“เราเชื่อว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นแสดงถึงความจริงของศรัทธาของพวกเรา”
ราชิด กล่าว ให้ สัมภาษณ์กับ Adnkronos International (AKI).
“หมูได้ถูก
พิจารณาอย่างละเอียดแล้วว่าเป็นสัตว์ที่ไม่สะอาดในศาสนาอิสลามและยิว
และการกินหมูเป็นสิ่งต้องห้าม
ยิ่งไปกว่านั้นมุสลิมในอิตาลีได้มีการพูดคุยเกี่ยวกับไข้หวัดหมูมาระยะหนึ่งแล้ว”
ราชิด กล่าว “มุสลิมส่วนมากไม่กังวลเกี่ยวกันโรคนี้
เนื่องจากพวกเขาไม่ทานหมูและไม่ทำงานปศุสัตว์ที่เกี่ยวกับหมูอยู่แล้ว” เขากล่าว
"แต่มีความเชื่อมั่นอย่างมากว่าโรคนี้เป็นการยืนยันในคำสอนของอัล
กุรอาน" อัลกุรอานสั่งให้ชาวมุสลิม หลีกเลี่ยงการเข้าใกล้และการสัมผัสกับหมู
โดยเฉพาะอย่างยิ่งห้ามทานหมู”
"ตามความเชื่อของอิสลามไม่ได้อธิบายอย่างชัดเจนว่าทำไมหมู
จึงถูกพิจารณาว่าเป็นสัตว์ที่ไม่สะอาดเขากล่าว
แต่เป็นที่ชัดเจนในหมู่นักเทววิทยาส่วนมากว่า
มันเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคได้อย่างดีในการที่อิสลามสั่งให้มุสลิมห่างไกลจากหมู"
เขากล่าวเพิ่มเติม
ตัวเลขของผู้เสียชีวิดด้วยโรคไข้หวัดหมูในเม็กซิโก
ซึ่งเป็นจุดที่เกิดเชื้อไวรัสนี้ เพิ่มเป็น 152 คนแล้ว
ที่มา http://www.ansorimas200.blogspot.com/2013/07/blog-post_43.html?m=1


ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น