วันจันทร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ประชาชาติที่ไม่กินหมู

ประชาชาติที่ไม่กินหมู



ดังที่กล่าวมาแล้ว ผู้ที่ไม่บริโภคสุกรหรือไม่กินหมูนั้นหาใช่แขกตามที่เข้าใจผิดๆ กันแต่ประการใดไม่ หากแต่เป็น มุสลิม” อันหมายถึงผู้ที่ศรัทธา-นับถือในระบอบศาสนาอิสลาม ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นชาติใด-เผ่าพันธุ์ใดก็ตาม เมื่อเขาเป็นมุสลิมเขาก็ต้อง งดเว้นในการบริโภคสุกรหรือกินหมูตามบัญญัติที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์ อัล-กุรอ่าน 

ความจริงนั้น ไม่เพียงแต่มุสลิมเท่านั้นที่ถูกห้ามในการบริโภคสุกร แม้แต่ชาวยิวและชาวคริสต์ก็ได้ถูกห้ามไว้เช่นกันดังปรากฏจากพระคัมภีร์ไบเบิลทั้งฉบับเดิมและฉบับใหม่ดังนี้ 

11: 7-8 : และตัวหมู เพราะหมูมีกีบแยกออกเป็นสอง แต่บดเอื้องไม่ได้ก็เป็นสัตว์ไม่สะอาดแก่ท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายอย่าได้กินหรือถูกต้องสัตว์เหล่านี้เลย เป็นสัตว์ไม่สะอาดแก่ท่านทั้งหลาย 
ในพระคริสต์ธรรมใหม่ฉบับขององค์การเดียวกันนี้ “มาระโก” 5 หน้า 103 (พระเยชูทรงขับผีโสโครกออก) ปรากฏในบัญญัติ 

11-13 มีใจความว่าเหล่าปิศาจร้ายวอนจากพระเยชูให้มันได้สิงสู่อยู่ในเรือนร่างของหมูแทนการอัปเปหิออกจากเมืองไป ซึ่งพระเยชูก็อนุมัติ ดังนั้น-หมูจึงเป็นรูปกายที่มีวิญญาณร้ายครองอยู่ ย่อมเป็นพิษ-เป็นภัยแก่ผู้คลุกคลีและบริโภคมัน หมูจึงเป็นสัตว์ต้องห้ามของชาวคริสต์ 

อาจมีข้อแตกต่างที่สามารถมองเห็นได้ชัดอยู่ประการหนึ่ง นั้นคือ ทั้งชาวคริสต์และมุสลิมซึ่งต่างก็ถูกห้ามกินหมูโดยคัมภีร์ที่ประชาชาติทั้งสองต่างศรัทธา-ยึดมั่นเท่าเทียมกัน เหตุไฉนชาวคริสต์จึงยังมีการกินหมูกันอยู่ ในขณะที่มุสลิมงดเว้นตามพระบัญชาอย่างเคร่งครัด เป็นเพราะมุสลิมงมงายต่อคัมภีร์จนเลยเถิดกระนั้นหรือ?   หามิได้ ! ในการคลี่คลายกรณีผิดแผกกันในเรื่องนี้อยากจะหยิบยกเอากฎหมายของบ้านเมืองมาเป็น อาทิ เพราะการที่ประชากรสองคนหรือสองกลุ่มมีการปฏิบัติไม่ตรงกันในตัวบทกฎหมายในลักษณะเดียวกัน โดยฝ่ายหนึ่งละเมิดต่อกฎหมาย แต่อีกฝ่ายหนึ่งประพฤติ-ปฏิบัติไปตามตัวบทกฎหมาย ไม่มีคนสติครบสมบูรณ์คนใดมีความเห็นว่าฝ่ายหลังงมงายต่อกฎหมาย ส่วนฝ่ายใดจะตกอยู่ในสภาพใดนั้นขอให้วิจารณญาณชี้ชัดเอาเองเถิด 

อุปมาฉันใด-ก็อุปไมฉันนั้น ไม่ต้องรอคำตอบจากสวรรค์ไม่ว่าชั้นใด เชื่อว่าคงเป็นที่เข้าใจกันอยู่แก่ใจแล้วเป็นอย่างดี การที่มุสลิมยึดมั่นต่อพระบัญชาของพระผู้อภิบาลหรือพระผู้เป็นเจ้าซึ่งพระนามว่า  อัลลอฮฺ สุบหานะฮู วะ ตะอาลา (อัลลอฮฺ สุบหฺฯ) อย่างเคร่งครัดคงเส้น-คงวา และมั่นคงนั้นเห็นจะเป็นเพราะหลักเบื้องต้นของความศรัทธาคือ คำปฏิญาณของการเป็นมุสลิม ที่ว่า 
                      
คำอ่าน : อัชฮาดุ อัน ลาอิลาฮะ อิลลัลลอฮฺ วะอัชฮะดุ อันนะมุฮัมมะดัรฺ-เราะสูลุลลอฮฺ 
แปลว่า : ฉันขอปฏิญาณว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ และฉันขอปฏิญาณว่า (นบี)มุหัมมัดเป็นผู้สื่อ (เราะสูล) ของอัลลอฮฺ 

เมื่อมุสลิมปฏิเสธพระเจ้าจอมปลอมอื่นๆหมดเกลี้ยงเสียก่อน    ก่อนที่จะยอมรับการเป็นพระเจ้าอย่างเที่ยงแท้  เพียงพระองค์เดียว อัลลอฮฺ” (ชาวคริสต์เรียกนามพระองค์ว่า ยะโฮวา”) การศรัทธา (อีม่าน) ต่อพระองค์จึงเป็นไปอย่างบริสุทธิ์และจริงจังอันใดเป็นพระบัญชาห้าม-ใช้ของพระองค์ มุสลิมย่อม ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดด้วยความยินยอมพร้อมใจด้วยสำนึกอันนอบน้อม

ดังกล่าวนี้อง  ได้สืบสัมพันธ์มายังคำปฏิญาณช่วงหลัง ดังนั้น-วจนะและจริยวัตรของท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลฯ. จึงเป็นสิ่งที่มุสลิมยึดมั่นปฏิบัติตามอย่างจริงจังด้วยความสมัครใจดังกล่าวบัญญัติอันเป็นหลักการของอิสลาม จึงไม่มีวันเป็นหมันหรือมีสภาพตายซากโดยขาดการแยแสในการยึดถือปฏิบัติจากมุสลิมผู้มีสำนึกในความเป็นมุสลิมอย่างครบถ้วนและถูกต้อง

 และบัดนี้เราได้ทราบแล้วว่าประชาชาติที่ไม่กินหมูตามหลักสรณะอันเป็นธรรมนูญประจำชีวิตนั้นมิใช่มีแต่มุสลิมเท่านั้น เพระแม้แต่ชาวคริสต์แล้วชาวฮินดูวรรณะสูงๆ ชาวจีนที่เชื่อลัทธิขงจื๊อ และชาวโซโรแอสเทรียนก็ไม่กินหมู สำหรับชาวพุทธนั้นไม่พูดถึง เพราะการปรินิพานของพระพุทธองค์เนื่องจากการฉันท์เนื้อสุกรนั้น แม้ว่านักปราชญ์ชาวพุทธบางท่านจะมีทัศนะว่า สุกรที่ว่าปาณาปาติบาตรนั้นเป็นเรื่องที่ชาวพุทธจะได้ใคร่ครวญกันเอง กระนั้นก็ดีสมควรที่เราจะได้ทำความรู้จักกับ หมู หรือ สุกร
ให้ดีเสียก่อน ก่อนที่จะก้าวไปสู่ปัญหาที่ต้องการทราบ.

ที่มา : เรื่อง สาเหตุที่มุสลิมไม่กินหมู ตอน ประชาชาติที่ไม่กินหมู 
จาก นิตยสารคุณธรรม ฉบับที่ ** ประจำเดือน ** 2547



อิหม่ามในอิตาลีพิสูจน์ไวรัสไข้หวัดหมูจากคำสอนในอัลกุรอาน

การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสไข้หวัดหมูเป็นการพิสูจน์คำสอนของศาสนาอิสลามและในคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ อัล กุรอาน อิหม่าม อมาเดีย ราชิด ในอิตาลี เมืองซาเลอ กล่าว

เราเชื่อว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นแสดงถึงความจริงของศรัทธาของพวกเราราชิด กล่าว ให้ สัมภาษณ์กับ Adnkronos International (AKI).

หมูได้ถูก พิจารณาอย่างละเอียดแล้วว่าเป็นสัตว์ที่ไม่สะอาดในศาสนาอิสลามและยิว และการกินหมูเป็นสิ่งต้องห้าม ยิ่งไปกว่านั้นมุสลิมในอิตาลีได้มีการพูดคุยเกี่ยวกับไข้หวัดหมูมาระยะหนึ่งแล้วราชิด กล่าว มุสลิมส่วนมากไม่กังวลเกี่ยวกันโรคนี้ เนื่องจากพวกเขาไม่ทานหมูและไม่ทำงานปศุสัตว์ที่เกี่ยวกับหมูอยู่แล้วเขากล่าว

"แต่มีความเชื่อมั่นอย่างมากว่าโรคนี้เป็นการยืนยันในคำสอนของอัล กุรอาน" อัลกุรอานสั่งให้ชาวมุสลิม หลีกเลี่ยงการเข้าใกล้และการสัมผัสกับหมู โดยเฉพาะอย่างยิ่งห้ามทานหมู

"ตามความเชื่อของอิสลามไม่ได้อธิบายอย่างชัดเจนว่าทำไมหมู จึงถูกพิจารณาว่าเป็นสัตว์ที่ไม่สะอาดเขากล่าว แต่เป็นที่ชัดเจนในหมู่นักเทววิทยาส่วนมากว่า มันเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคได้อย่างดีในการที่อิสลามสั่งให้มุสลิมห่างไกลจากหมู" เขากล่าวเพิ่มเติม

ตัวเลขของผู้เสียชีวิดด้วยโรคไข้หวัดหมูในเม็กซิโก ซึ่งเป็นจุดที่เกิดเชื้อไวรัสนี้ เพิ่มเป็น 152 คนแล้ว

ที่มา http://www.ansorimas200.blogspot.com/2013/07/blog-post_43.html?m=1

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น