วันจันทร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

อิสลามเข้ามาแทนที่คาทอลิกในฐานะศาสนาที่มีผู้นับถือมากที่สุดในโลกแล้ว

อิสลามเข้ามาแทนที่คาทอลิกในฐานะศาสนาที่มีผู้นับถือมากที่สุดในโลกแล้ว
                                                                
แปลโดย วาริษาฮ์ อัมรีล

วาติกัน (รอยเตอร์) - อิสลามเข้ามาแทนที่คาทอลิกในฐานะศาสนาที่มีผู้นับถือมากที่สุดในโลกแล้ว, จากการเปิดเผยของวาติกันเมื่อวันอาทิตย์ที่ 30 มีนาคม 2008 (แต่หากรวมศาสนาคริสต์ทุกนิกายก็ยังมากกว่าอิสลามอยู่ดี - ผู้แปล)

Monsignor Vittorio Formenti ซึ่งเป็นผู้รวบรวมหนังสือสถิติปี 2008 ของวาติกันที่เพิ่งออกวางตลาด กล่าวว่า จำนวนชาวมุสลิมในปัจจุบันคิดเป็นร้อยละ 19.2 ของประชากรโลก ส่วนชาวคาทอลิกมีราวร้อยละ 17.4 ของประชากรโลก

"นี่ถือว่าเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่เรามิได้เป็นที่หนึ่งอีกต่อไปแล้ว: จำนวนชาวมุสลิมล้ำหน้าเราไปแล้ว" Formenti ให้สัมภาษณ์ L'Osservatore Romano หนังสือพิมพ์ของวาติกัน เขาบอกว่าตัวเลขดังกล่าวเป็นของปี 2006

เขากล่าวว่า แต่หากรวมคริสต์ทุกนิกายทั้งแองกลิเคิน ออร์โธดอกซ์ และโปรแตสแตนท์ ชาวคริสต์จะมีราวร้อยละ 33 ของประชากรโลก หรือราว 2 พันล้านคน

วาติกันคาดว่ามีชาวคาทอลิกทั่วโลก 1.13 พันล้านคน แต่มิได้บอกตัวเลขจำนวนชาวมุสลิมไว้ ซึ่งโดยทั่วไปคาดกันว่ามีประมาณ 1.3 พันล้านคน

Formenti กล่าวว่าอัตราชาวคาทอลิกต่อประชากรโลกยังคงเท่าเดิม แต่ชาวมุสลิมมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเพราะอัตราการเกิดสูง.

                                 

ฟาติมาสาร – CHURCHES FOR SALE (เสนอขายโบสถ์)
วิกฤติเศรษฐกิจในยุโรปและอเมริกายังคงพ่นพิษไม่หยุด จำนวนบริษัทที่ต้องปิดกิจการรวมถึงคนตกงานยังอยู่ในอัตราที่สูง ขณะที่วิกฤติความเชื่อต่อคริสต์ศาสนาในยุโรปและอเมริกา ก็ย่ำแย่ไม่แพ้เศรษฐกิจ อัตราคนไม่เชื่อพระเจ้าและไม่มีศาสนาสูงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเป็นแบบนี้ โบสถ์คริสต์ก็ไม่มีคนไปร่วมพิธี ประกอบกับเศรษฐกิจตกต่ำส่งผลกระทบต่อค่าใช้จ่ายของโบสถ์ ผลที่ตามมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ก็คือ การประกาศขายโบสถ์เกิดขึ้นเยอะมากในยุโรปและอเมริกา

ที่มา http://www.ansorimas200.blogspot.com/2013/07/blog-post_155.html?m=1

วิทยาศาสตร์เบื้องหลัง “ฮิญาบ”

วิทยาศาสตร์เบื้องหลัง ฮิญาบ



การ สวมฮิญาบ เป็นหน้าที่ทางด้านศีลธรรมในอิสลามที่ถูกนำมาอภิปรายอยู่บ่อยครั้งท่ามกลาง บรรดาสตรีมุสลิม แต่มีน้อยคนนักที่จะกล่าวถึงเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ในเรื่องการคลุมฮิญาบ การสวมฮิญาบมีผลประโยชน์มากมายทั้งต่อด้านสุขภาพร่างกาย ศีลธรรม และสังคม นอกจากนี้ จากการศึกษาค้นคว้าวิทยาศาสตร์ด้านบุคลิกภาพ ยังได้ค้นพบผลประโยชน์อื่นๆอีกมากมาย ที่แสดงให้เห็นว่า การสวมฮิญาบเป็นเครื่องแต่งกายที่ดีที่สุดสำหรับสตรี

นักวิจัยค้นคว้าวิทยา ศาสตร์ด้านการแพทย์ได้ให้ทัศนวิสัยด้านสุขภาพว่า การปกป้องศรีษะเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับมนุษย์ เพราะจากการทดสอบทางการแพทย์ค้นพบว่า 40-60 % ของความร้อนในร่างกาย จะสูญเสียออกไปผ่านทางศรีษะ ดังนั้นผู้ที่สวมผ้าคลุมหรือฮิญาบในช่วงฤดูหนาว จะได้รับการปกป้องจากความหนาวย็นมากกว่าคนที่ไม่ได้ใส่ถึง 50%

แต่ในตำราด้านการแพทย์ ของชาวจีนและมุสลิม ได้ให้ข้อมูลที่มีรายละเอียดมากขึ้น เช่น ในตำรา ฮัว ดิ เนีย จิง( Hua Di Nei Jing) (อายุรศาสตร์ภายในแบบดั้งเดิมของจักรพรรดิเหลือง ) ได้กล่าวไว้ว่า ลมเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน ภายในร่างกาย ทำให้เกิดการสั่นสะเทือน และการเคลื่อนไหวขึ้นๆลงๆ และการเคลื่อนไหวอื่น ๆ ที่ส่งผลทำให้สูญเสียความสมดุลของร่างกาย และเป็นสาเหตุทำให้มีสุขภาพที่ไม่ดี

จากตำราข้างต้นนี้ สามารถให้เหตุผลได้ว่าไข้หวัดทั่วไป มีปัจจัยมาจาก การที่ลมเข้าสู่ร่างกาย และส่งผลทำให้เกิดอาการดังต่อไปนี้ตามมา เช่น อาการจาม น้ำมูกไหล ในตำราด้านการแพทย์ของอิสลาม อัลญาซิฮ์ยาก็เช่นเดียวกัน ได้มีการอ้างอิงถึงสี่ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อร่างกายมนุษย์ คือ ไฟ น้ำ อากาศ และดิน นอกจากนี้ยังได้กล่าวถึงวิธีการที่ปัจจัยเหล่านี้มีผลต่อร่างกายในรูปแบบ ต่างๆไว้ด้วย จะเห็นหลายๆคนโดยเฉพาะเด็กมักจะได้รับคำแนะนำให้อยู่ห่างจากกระแสลม ปกป้องศรีษะจากลม สายลม กระแสลม และ สภาพอากาศที่หนาวเย็นอยู่บ่อยๆ

วิทยาศาสตร์แนะนำ พนักงานกลางแจ้ง ควรสวมผ้าปกปิดศรีษะ การปกป้องศรีษะเป็นสิ่งสำคัญมากเช่นกัน ในสภาพอากาศที่อบอุ่น วี.จี. รอซีน นักวิจัยผู้เชี่ยวชาญด้านสมองที่เก่งที่สุด ได้ค้นพบว่า ธาตุฟอสฟอรัสในสมองของมนุษย์ จะละลายที่อุณหภูมิ 108 องศา ซึ่งเป็นอุณหภูมิที่จะมีผลกระทบต่อสมองของมนุษย์ หากพวกเขาอยู่ภายใต้ดวงอาทิตย์ที่ร้อนเป็นระยะเวลานาน โดยไม่มีผ้าคลุมศรีษะ เมื่อศรีษะได้รับความร้อนที่มากเกินไป จะส่งผมทำให้เกิดความเสียหายในสมอง สูญเสียความทรงจำ และสูญเสียการทำงานของสมองบางส่วนไป ไม่ใช่แค่อุณภูมิสูงเท่านั้นที่ส่งผลให้เกิดความเสียหายในสมอง แม้แต่ในองศาที่มีขนาดเล็ก ถ้ามีการสัมผัสบ่อยๆ และปล่อยให้ศรีษะเจอความร้อนที่มากเกินไป
เบอร์นาร์ด เจนเซ่น แพทย์ไม่พึ่งยา และ หมอนวดบำบัด ได้กล่าวว่า ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะ สมองทำงานอยู่บนแร่ฟอสฟอรัส ซึ่งถ้าศรีษะสูญเสียแร่ฟอสฟอรัสเนื่องจากความร้อน สมองก็จะได้รับผลกระทบจากความร้อนเช่นเดียวกัน

ผลประโยชน์ของฮิญาบด้านสุขอนามัย :
คนงานทุกคนที่ทำงาน ด้านการรับใช้สังคมควรจะสวมผ้าคลุม หรือ ปกปิดศรีษะ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับคนอื่นในเรื่อง สุขอนามัยและการรักษาความสะอาด จะเห็นว่าคนงานมืออาชีพในสังคมส่วนมากจะสวมใส่ " ผ้าคลุมศรีษะ " เช่น พยาบาล พนักงานอาหารฟาสท์ฟูด และพนักงงานอาหารสำเร็จรูป พนักงานร้านอาหาร และบริการ แพทย์ ผู้ให้การดูแลด้านสุขภาพและ พนักงานอื่น ๆ อีกมากมาย แท้ที่จริงแล้ว เมื่อเราเปรียบเทียบจำนวนของพนักงานที่คลุมศรีษะ กับพนักงานที่ไม่ได้คลุมศรีษะ จะพบว่า จำนวนผู้คลุมศรีษะมีมากกว่าคนที่ไม่คลุมศรีษะเสียอีก เพราะการคลุมศรีษะในหลายๆที่เป็นการสร้างความมั่นใจให้ลูกค้าและผู้ใช้ บริการได้ดีกว่า

การคลุมฮิญาบ บางครั้งเป็นการรับใช้ศาสนาอย่างหนึ่ง คือ เป็นการย้ำเตือนผู้หญิงให้ทำหน้าที่ทางศาสนาของพวกเขาและ เป็นตัวบ่งบอกพฤติกรรมของพวกเขา นอกจากนี้การคลุมฮิญาบ ยังทำหน้าที่รับใช้ศาสนาเพื่อเป็นการเตือนสติให้ผู้หญิงรู้ว่า การคลุมฮิญาบไม่ใช่มีผลดีต่อเธอคนเดียว แต่เมื่อสวมแล้วเธอยังเป็นตัวแทน และเป็นทูตแห่งอุมมะฮ์(ประชาชาติ)ของพระเจ้าด้วย

ผลการวิจัย ในรัฐควิเบกยัน ฮิญาบไม่ก่อปัญหาต่อสังคม,หลังหญิงที่สวมใส่มักถูกกีดขวางในการทำงาน มีรายงานว่า ผลการวิจัยเกี่ยวกับผู้อพยพในรัฐควิเบก ประเทศแคนาดาใน 1 ปี ชี้ให้เห็นว่าฮิญาบไม่ก่อปัญหาต่อสังคมควิเบก และพวกเขาได้เลือกที่จะสวมใส่ฮิญาบด้วยความสมัครใจของตนเอง 

ผลการวิจัยนี้ได้ชี้ให้เห็นว่า การกีดกันในการสวมใส่ฮิญาบในรูปแบบอิสลามจะมีผลเสียในสังคมเป็นอย่างมาก และชี้ให้เห็นอีกว่ามีการเลือกปฏิบัติกับสตรีที่สวมใส่ฮิญาบโดยสตรีที่สวมใส่ฮิญาบต้องทนทุกข์ทรมานกับการที่จะต้องถูกกีดขวางในการหางาน เพราะผู้จ้างมักจะมีความหวาดกลัวที่จะจ้างสตรีที่สวมใส่ฮิญาบ 

นอกจากนี้ นักวิจัยยังได้เน้นอีกว่า กฏนานาชาติและกฏหมายในรัฐควิเบก ได้ให้เสรีภาพในการนับถือศาสนาอย่างเป็นทางการแล้ว และการที่สตรีมุสลิมจะรักษาฮิญาบของตนเองในเงื่อนไขของกฏหมายเหล่านี้ ถือเป็นสิ่งที่ถูกต้อง


ที่มา http://www.ansorimas200.blogspot.com/2013/07/blog-post_23.html?m=1

ทำไมมุสลิมไปมัสยิดเยอะจัง ในขณะที่โบสถ์คริสต์ในทุกวันนี้แทบจะว่างเปล่าไปแล้ว

ทำไมมุสลิมไปมัสยิดเยอะจัง ในขณะที่โบสถ์คริสต์ในทุกวันนี้แทบจะว่างเปล่าไปแล้ว



                                                

คุณพ่อ Michel Le Long บิชอปคาทอลิก ประเทศฝรั่งเศส

ฝรั่งเศส: บิชอปจัดประชุมพิเศษถกกันว่าทำไมมุสลิมไปมัสยิดเยอะจัง
Mosque Attending Puzzles French Bishops

ปารีส, ฝรั่งเศส - กลุ่มบิชอปคาทอลิกได้จัดการประชุมเพื่อถกกันว่าทำไมมัสยิดถึงมีศาสนิกไปละหมาดกันเยอะจัง ในขณะที่โบสถ์คริสต์ในทุกวันนี้แทบจะว่างเปล่าไปแล้ว

"สิ่งที่เกิดขึ้น (คนไปโบสถ์น้อย) ไม่ใช่เรื่องใหม่ในฝรั่งเศส" คุณพ่อ Michel Le Long กล่าวกับ IslamOnline.net เมื่อวันเสาร์ที่ 18 ส.ค. ในการประชุมเรื่องอิสลามที่จัดโดยโบสถ์คริสต์

"เรื่องนี้ต้องโทษความขัดแย้งในอดีตระหว่างรัฐบาลกับคริสตจักร ที่ส่งผลให้คริสตจักรแทบไม่มีบทบาทและอำนาจใดๆ เลย"

Le Long ยังโทษลักษณะสังคมของฝรั่งเศสที่เป็นเซคคูลาร์ (secular เน้นทางโลก)

"ในระบบเซคคูลาร์, ศาสนา, โดยเฉพาะศาสนาคริสต์, ยิ่งกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยที่ไม่สำคัญของสังคมไปซะ"

บิชอปเกือบ 40 คนทั่วประเทศฝรั่งเศสได้เข้าในการประชุมเป็นระยะเวลา 7 วัน เริ่มต้นเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2007 ที่ผ่านมา

"เรื่องที่เราถกกันก็คือ ทำไมมัสยิดมีคนไปละหมาดเต็มตลอด ในขณะที่โบสถ์คริสต์ไม่ค่อยมีคน แม้กระทั่งในวันอาทิตย์ซึ่งเป็นวันสำคัญที่สุด" Christophe Roucou หัวหน้าแผนกความสัมพันธ์มุสลิม-คริสเตียนของคริสตจักรคาทอลิกฝรั่งเศส กล่าวกับหนังสือพิมพ์ Le Monde ของฝรั่งเศส

ฝรั่งเศสมีประชากรมุสลิมราว 6 ล้านคน เป็นประเทศที่มีมุสลิมมากที่สุดในยุโรป

เด็กมุสลิมรุ่นใหม่ในฝรั่งเศส

บิชอปหลายคนที่เข้าร่วมประชุมกล่าวว่าเด็กมุสลิมรุ่นที่สองและสามซึ่งถือกำเนิดในฝรั่งเศสและอยู่ในวัฒนธรรมเซคคูลาร์กลับกลายเป็นพวกที่ไปมัสยิดเยอะมากๆ

"ทั้งๆ ที่พวกเขาส่วนใหญ่แล้วไม่ค่อยรู้ภาษาอารบิกเหมือนรุ่นพ่อแม่ซะด้วยซ้ำ" บิชอป Jean Philippe กล่าว "เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อในประวัติศาสตร์ฝรั่งเศสจริงๆ"

เขากล่าวว่าการเปลี่ยนมารับอิสลามของชาวฝรั่งเศสก็เป็นอีกข้อหนึ่ง

ประมาณว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมามีชาวฝรั่งเศสราว 50,000 คนหันไปรับอิสลาม

ที่ฝรั่งเศสมีมัสยิดและสถานที่ละหมาด 1,500 แห่ง ส่วนใหญ่มีขนาดเล็ก ดังที่ถูกเรียกว่า "มัสยิดใต้ถุน" (เพราะในแถบที่สร้างมัสยิดไม่ได้หรือไม่มีตังค์สร้างมัสยิด ชาวมุสลิมจะละหมาดกันในชั้นใต้ดินของตึก - ผู้แปล)

ชาวมุสลิมบ่นว่าสถานละหมาดที่มีในปัจจุบันคับแคบเกินไป

"เราต้องละหมาดวันศุกร์กันบนถนนเพราะมัสยิดล้น ที่ไม่พอให้ยืน" มัมดู บราฮิม จากมัสยิดฟัตฮ์ในปารีสกล่าว

"พวกเจ้าของร้านค้าแถบมัสยิดก็บ่นสิ"

การเติบโตของอิสลามในยุโรปทำให้เกิดกระแสต่อต้านชาวมุสลิมมากมาย รวมทั้งไม่ยอมให้สร้างมัสยิดใหม่ อย่างในฝรั่งเศส มีสองคดีที่ศาลตัดสินไม่ให้ชาวมุสลิมสร้างมัสยิดขนาดใหญ่คือที่เมือง Montreuil และเมืองมาร์แซลส์


ที่มา: Mosque Attending Puzzles French Bishops. Islamonline.net. 18 August 2007.
http://www.islamonline.net/servlet/Satellite?c=Article_C&cid=1187268392945&pagename=Zone-English-News/NWELayout
http://www.ansorimas200.blogspot.com/2013/07/blog-post_8466.html?m=1

โดย Hadi Yahmid, IOL Correspondent
แปลโดย วาริษาฮ์ อัมรีล

นักวิทยาศาสตร์ยอมรับ “นบีมูซา” เคยข้ามทะเลแดงจริงตามพระคัมภีร์ระบุ

นักวิทยาศาสตร์ยอมรับ นบีมูซาเคยข้ามทะเลแดงจริงตามพระคัมภีร์ระบุ

                                    

อาหรับนิวส์

ผลการศึกษาใหม่ระบุว่า กระแสลมที่รุนแรงอาจทำให้เกิดปรากฎการณ์น้ำทะเลแยกออกเป็น 2 ข้างได้ เหมือนกับเรื่องราวในพระคัมภีร์ นักวิทยาศาสตร์ยอมรับ การข้ามทะเลแดงของ “นบีมูซา หรือโมเสส ซึ่งถูกระบุในพระคัมภีร์เก่า (The Old Testament) และคัมภีร์อัลกุรอาน เคยเกิดขึ้นจริง

อย่างไรก็ตาม จุดที่นักวิทยาศาสตร์ทำการศึกษา ปรากฏการณ์มหัศจรรย์ ดังกล่าวไม่ใช่ทะเลแดง แต่เป็นบริเวณใกล้เคียงแถบดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์

นักวิทยาศาสตร์สหรัฐฯซึ่งศึกษาแผนที่โบราณของดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่ น้ำไนล์ ชี้จุดที่ท่านนบีมูซา(อ.)หรือโมเสสอาจพาชาวอิสราเอลข้ามทะเล ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน 
นักวิทยาศาสตร์ระบุว่า ในอดีตสาขาหนึ่งของแม่น้ำไนล์เคยไหลลงสู่ทะเลสาบ (lagoon)ซึ่งเรียกกันว่า ทะเลสาบทานิส (Lake of Tanis)


จากการวิเคราะห์หลักฐานทางโบราณคดี ภาพถ่ายดาวเทียม และแผนที่ ทำให้นักวิจัยสามารถคาดเดาความลึกและการไหลของน้ำเมื่อ 3,000 ปีก่อน จากนั้นจึงใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ทางสมุทรศาสตร์จำลองอิทธิพลของกระแสลมแรง ที่พัดผ่านน้ำลึก 6 ฟุต ในยามค่ำคืน

นักวิจัยพบว่า ลมตะวันออกความเร็ว 63 ไมล์ต่อชั่วโมงที่พัดผ่านอย่างต่อเนื่องนาน 12 ชั่วโมง สามารถผลักดันให้น้ำไหลกลับเข้าไปในทะเลสาบและแม่น้ำ ซึ่งจะทำให้เกิด
ช่องทางเดินยาว 2 ไมล์และกว้าง 3 ไมล์ ที่มีกำแพงน้ำอยู่ 2 ด้าน เป็นเวลา 4 ชั่วโมง


ทะเลแดง Red Sea

ทะเลแดง
ในอดีตเราพอจะรู้จักทะเลแดงได้จากเรื่องเราของศาสดามูซาที่พากลุ่มชน บนีอิสรออีลข้ามทะเลแดงเพื่อหลบหนีการไล่ฆ่าของ ฟาร์โร

ทะเลแดง (อังกฤษ: Red Sea ;อาหรับ: อัลบะฮฺรุ อัลอะฮฺมัร; ฮิบรู: Yam Suf) เป็นอ่าวในมหาสมุทรอินเดีย แบ่งระหว่างทวีปแอฟริกากับทวีปเอเชีย โดยทะเลแดงเชื่อมกับมหาสมุทรอินเดียที่อ่าวเอเดน (Gulf of Aden) ทะเลแดงมีความยาวประมาณ 1900 กิโลเมตร และกว้างประมาณ 300 กิโลเมตร ร่องทะเลที่ลึกที่สุดประมาณ 2,500 เมตร และความลึกเฉลี่ยประมาณ 500 เมตร

ทะเลแดงมีชื่ออื่นคือ อ่าวอาระเบีย (Arabian Gulf) ซึ่งเรียกกันก่อนสมัยคริสศตวรรษที่ 20 ชื่อทะเลแดงไม่ได้หมายถึงสีของน้ำทะเล แต่หมายถึงสีของแบคทีเรียชนิดหนึ่งบริเวณผิวน้ำ

ในอดีตทะเลแดงเคยเป็นเรื่องเล่าของทั้งศาสนาอิสลาม คริสต์และยิวที่เกี่ยวการพาข้ามทะเลแดงของท่านนบีมูซา เพื่อให้บรรดาชาวยิวหรือบนีอิสรออีลรอดพ้นจากการไล่ฆ่าของฟาร์โร โดยท่านนบีมูซาได้เอาไม้เท้าตีที่น้ำตามบัญญัติที่อัลลอฮฺสั่งแก่ท่านนบีมูซา และเป็นดั่งที่ท่านทราบพอเหล่าบรรดาสาวกของนบีมูซาข้ามมาได้นั้นอัลลอฮฺก็ได้ทำให้ทะเลกลับเป็นเหมือนเดิมทำให้กองทัพของฟาร์โรที่ตามมาต้องพินาศลง
และยังมีเรื่องเล่าอีกว่า ทะเลแดงนี้ขึ้นชื่อเรื่องของฉลามที่ดุที่สุดเลยละ

ที่มา : http://www.thaimuslim.com
http://www.ansorimas200.blogspot.com/2013/07/blog-post_4425.html?m=1

มัมมีี่ ฟาโรห์ และการประกาศรับอิสลามของแพทย์ชาวฝรั่งเศส มอริส บูกายย์

มัมมี่ ฟาโรห์ และการประกาศรับอิสลามของแพทย์ชาวฝรั่งเศส มอริส บูกายย์

อ.มัสลัน มาหะมะ แปลเเละเรียบเรียง

สิ่งมหัศจรรย์ที่แสดงความมีเดชานุภาพของอัลลอฮ์ กรณีศพฟาโรห์์์์
เรื่่องราวของมัมมีี่ ฟาโรห์ และการประกาศอิสลามของแพทย์ผู้โด่งดังชาวฝรั่งเศส ชื่อ มอริส  บูกายย์ Dr.Maurice  Bucaille

"ดังนั้น วันนี้เราจะให้ร่างของเจ้ารอดพ้นจาก ทะเล เพื่อจักได้เป็นสัญญาณแก่ชนรุ่นหลังจากเจ้า และแท้จริงส่วนใหญ่ของมนุษย์เฉยเมยต่อสัญญาณต่าง ๆ ของเรา"
(ยูนุส / 92)

ช่วง ที่นายฟรองซัวส์ มิตเตอร์รองด์ ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีฝรั่งเศส ปี 1981 รัฐบาลฝรั่งเศส ได้ดำเนินการขออนุญาตจากรัฐบาลอียิปต์ ให้ส่งมัมมี่ฟาโรห์ไปยังประเทศฝรั่งเศสเพื่อทำการชันสูตรและบำรุงรักษา หลังจากนั้นก็มีการเคลื่อนย้ายศพจอมอหังการที่สุดเท่าที่โลกเคยรู้จัก
ที่ ฝรั่งเศส ...ขณะที่ขบวนเคลื่อนย้ายมัมมี่ฟาโรห์ลงจากบันไดเครื่องบิน ประธานาธิบดีพร้อมด้วยคณะรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่ระดับสูงของประเทศฝรั่งเศส ได้้เข้้าแถวต้อนรับมัมมีี่ฟาโรห์์และคณะอย่างยิ่งใหญ่สมเกียรติ !!! เสมือนกับพิธีต้อนรับพระราชาและเสมือนว่าฟาโรห์ยังมีชีวิตอยู่ และกำลังร้องตะโกนแก่ชาวอียิปต์ว่า ข้าคือพระเจ้าที่สูงส่งของพวกเจ้า


หลัง จากพิธีต้อนรับเสร็จสิ้นลง... ศพจอมอหังการก็ถูกเคลื่อนย้ายด้วยขบวนรถอย่างยิ่งใหญ่ซึ่งไม่ด้อยกว่าพิธี ต้อนรับ  จากนั้นศพมัมมี่ถูกนำไปยังศูนย์พิพิธภัณฑ์แห่งชาติ เพื่อทำการชันสูตรโดยคณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
ภาพ ที่ท่านเห็นด้านล่างนี้ คือภาพถ่ายระยะใกล้ของ ฟาโรห์โรเมสิสที่สอง สังเกตได้้ว่่ามือทั้ังสองข้้างอยู่ในสภาพกอดอก แพทย์ผู้เป็นห้วหน้าทีม  ของการชันสูตรศพในครั้งนี้คือ ศ.นพ.มอริส บูกายย์


ทีมแพทย์ชันสูตรต่างกุลีกุจอตรวจรักษาศพมัมมี่เป็นการใหญ่ ในขณะที่ศ.นพ.มอริส ใจจดใจจ่อที่จะพิสูจน์ว่า จอมราชันย์์ผู้โอหังองค์นี้ เสียชีวิตได้อย่างไร
ศพ ของโรเมสิสที่สองนี้ มีสภาพที่แตกต่างจากศพฟาโรห์อื่นๆ ที่มีการชันสูตรก่อนหน้านี้ เพราะลักษณะการสิ้นชีวิตของฟาโรห์องค์นี้แปลกพิสดารมาก ขณะทีี่ทีมแพทย์์แกะผ้้าพันศพออก พวกเขาต้้องตระหนกตกใจเมื่อมือซ้ายของมัมมี่นี้ได้ยื่นออกอย่างรวดเร็ว คล้ายกับว่าผู้ที่ห่อศพได้ออกแรงดันให้มือท้ังสองข้างชิดแนบอกเหมือนศพ ฟาโรห์องค์อื่นที่สิ้นชีวิตก่อนหน้านี้ ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ ????


ช่วงดึกของคืนหนึ่ง ศ.นพ.มอริสได้พิสูจน์ผลการทดสอบครั้งสุดท้าย ซึ่งค้นพบว่า มีเกร็ดเกลือติดอยู่กับศพ ฟาโรห์

หลังจากมีการเอ็กซ์เรย์ เขายังพบอีกว่า กระดูกของศพได้หักเป็นท่อน ๆ ในขณะที่ผิวหนังไม่มีร่องรอยการฉีกขาดเลย สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นการยืนยันว่าฟาโรห์องค์นี้จมน้ำตายอย่างแน่นอน เนื่องจากถูกกระแทกด้วยน้ำอย่างรุนแรง ทำให้กระดูกหัก แต่ผิวหนังไม่ฉีกขาด หลังจากเสียชีวิต ศพฟาโรห์ องค์นี้ถูกเคลื่อนย้ายออกจากทะเลโดยทันที

หลังจากนั้นประชาชนได้้เร่งรีบห่อศพเป็นมัมมี่เพื่อป้องกันจากการเน่าเปลื่อย สิ่งที่แปลกกว่านี้ ทีมแพทย์สามารถอธิบายเกี่ยวกับมือซ้าย ซึ่งฟาโรห์องค์นี้กำลังถือเชือกบังคับม้าหรือดาบด้วยมือขวา ในขณะที่มือซ้ายถือโล่ห์ และเป็นช่วงที่พระองค์จมน้ำตายพอดี


เนื่องจากอยู่ในอาการตกใจสุดขีด ในขณะที่มือซ้ายกำลังปกป้องการโหมกระหน่ำของน้ำทะเลอย่างสุดชีวิต ทำให้พระองค์ต้องจบชีวิตในลักษณะนี้ ซึ่งในวงการแพทย์แล้วเป็นที่ทราบกันว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะดึงมือให้แนบอกอีกคร้ัง

อาการ ของศพในลักษณะนี้ เป็็นทีี่ทราบกันดีในวงการแพทย์ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อเหยื่อหรือผู้ตายอยู่ใน อาการปกป้องชีวิตแบบสุด ๆ เช่นกำลังคว้าเสื้อฆาตกรหรือส่วนอื่น ๆ ในทำนองนี้
แต่สิ่งหนึ่งที่สร้างความประหลาดใจแก่่  ศ.ดร.มอริส คือ .......
ทำไม ? ศพฟาโรห์องค์นี้มีสภาพที่สมบูรณ์กว่าศพฟาโรห์องค์ อื่น ๆ ทั้ง ๆ ที่ศพฟาโรห์องค์นี้ถูกนำมาจากท้้องทะเล

มอริส บูกายย์ ได้ตระเตรียมเขียนรายงานชิ้นสุดท้ายเกี่ยวกับสิ่งใหม่ที่ตนเองค้นพบ นั่นคือฟาโรห์องค์นี้ จมน้ำตายในทะเลก่อนที่จะถูกนำขึ้นบก เขาวาดฝันว่าสื่อทุกแขนงคงให้ความสนใจกับสิ่งที่ตนเองค้นพบอย่างแน่นอน 

จน กระทั่งหนึ่งในทีมแพทยช์ชันสูตรได้กระซิบกับเขาว่า ท่านจะรีบร้อนไปทำไม ชาวมุสลิมรู้เรื่องฟาโรห์ จมทะเลตายมาก่อนแล้ว อัลกุรอานของพวกเขาได้เล่าเรื่องนี้มาตั้ังแต่ 14 ศตวรรษทีี่ผ่านมาแล้้ว

คำพูดนี้ทำให้ ศ.นพ. มอริส  แปลกใจมาก เขาจึงปฏิเสธอย่างแข็งขันว่า ไม่มีทางที่อัลกุรอานจะค้นพบสิ่งเร้นลับนี้ได้ เว้นแต่ต้องอาศัยอุปกรณ์อันทันสมัยและเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีศักยภาพสูงมาก
ยิ่งไปกว่านั้น มัมมี่ องค์นี้ได้รับการค้นพบครั้งแรกเมื่อป 1898 !

ศ.นพ.มอริส รู้สึกแปลกใจยิ่งขึ้น และถามตนเองว่า ไม่มีทางที่ปัญญาของมนุษย์จะยอมรับคำบอกเล่าของอัลกุรอานในเรื่องนี้ได้
มนุษย์์ ทั้ั้งมวลซึ่งไม่่เพียงแต่่ชาวอาหรับเท่านั้ั้นต่่างก็ไม่่รู้้ด้้วยซ้ำว่่า ชาวอียิปต์์ยุคก่่อนรู้้วิธีรักษาศพด้้วยการห่่อศพเป็็นมัมมีี่ เว้้นแต่่ก่่อนหน้้านี้เพียงไม่กีี่ร้อยปีีเท่า่นั้ั้น

ศ.ดร.มอ ริส นั่งเพ่งพินิจศพฟาโรห์ทั้งคืนในขณะที่มันสมองของเขา หวนคิดคำพูดของเพื่อน ๆ ว่า อัลกุรอานของชาวมุสลิม ได้พูดถึงศพฟาโรห์ที่ถูกนำออกจากทะเลหลังจากจมน้ำ
ใน ขณะที่คัมภีร์ไบเบิลได้เล่าเพียงการจมน้ำตายของฟาโรห์ช่วงที่ไล่ล่านบีมูซา เท่านั้น โดยไม่มีการพูดถึงว่าศพฟาโรห์ได้ถูกนำ ณ ที่ใดบ้าง
เป็นไปได้หรือที่ มูฮัมมัด ของพวกเขารับทราบความจริงนี้มาตั้ังแต่พันกว่า่ ปีีแล้้ว
ในคืนนั้น ดร.มอริสไม่สามารถหลับตานอนได้เลย เขาได้ส่ั่งให้ผู้ช่วยของเขานำคัมภีร์์โตราห์์ และเขาได้้อ่านตอนหนึึ่ง
ความว่่าและแล้วน้ำก็ได้โถมเข้า้ใส่ ทำให้เหล่าทหารม้าของฟาโรห์จมใต้ทะเล ไม่มีใครรอดชีวิตแม้เพียงคนเดียว


ดร.มอ ริส ยังคงแปลกใจอยู่่ว่่า แม้้กระทั่งไบเบิลก็ไม่เคยพูดถึงศพของฟาโรห์ว่าถูกรักษาไว้อย่างดี คัมภีร์โตราห์ก็เช่นเดียวกัน ไม่ได้้กล่าวถึงรายละเอียดจุดจบของศพ ฟาโรห์เ์ลย
หลังจากการตรวจชันสูตรสำเร็จไปด้วยความเรียบร้อย รัฐบาลฝรั่งเศสก็ส่งคืนมัมมี่ฟาโรห์กลับคืนไปยังอียิปต์
แต่ ความรู้สึกของ ดร. มอริส ยังคงว้าวุ่นกระวนกระวาย หลังจากที่เขาทราบว่าชาวมุสลิมรู้มาก่อนหน้านี้ว่าศพฟาโรห์ถูกเก็บรักษา อย่างปลอดภัย
เขาจึงจัดแจงสัมภาระ และตัดสินใจเดินทางไปยังประเทศมุสลิม เพื่อขอพบกับบรรดาศัลยแพทย์มุสลิม
 ณ ที่นั่น เขาได้มีโอกาสพบปะพูดคุยกับศัลยแพทย์มุสลิม พร้อมทั้งเล่าสิ่งที่เขาค้นพบเกี่ยวกับศพฟาโรห์ที่ถูกเก็บรักษาไว้เป็นอย่าง ดีหลังจากจมน้ำตาย หนึ่งในศัลยแพทย์มุสลิมได้้ลุกขึ้น พร้้อมเปิิดอัลกุรอานและอ่่านพจนารถของอัลลอฮฺว่า

ดัง นั้น วันนี้เราจะให้ร่างของเจ้ารอดพ้นจากทะเล เพื่อจักได้เป็นสัญญาณแก่ชนรุ่นหลังจากเจ้า และแท้จริงส่วนใหญ่ของมนุษย์เฉยเมยต่อสัญญาณต่า่ง ๆ ของเรา (ยูนุส / 92)

อายะฮฺนี้ทำให้เขาต้องตะลึงแน่นิ่ง หัวใจเต้นระรัวด้วยความประหลาดใจ เขาได้ลุกขึ้นยืนท่ามกลางสายตาผู้คน พร้อมป่าวตะโกนเสียงก้องว่า ฉันขอประกาศรับอิสลาม และฉันศรัทธาต่ออัลกุรอานนี้
ดร. มอริส บูกายย์ ได้กลับสู่ประเทศฝรั่งเศสในสภาพที่ต่างจากช่วงที่เขาออกมาอย่างสิ้นเชิง
 หลัง จากนั้น เขาจึงได้ทุ่มเทเวลานานนับสิบปีศึกษาวิจัยความสอดคล้องของวิทยาการและการค้น พบทางวิชาการยุคใหม่กับเนื้อหาที่ปรากฏในอัลกุรอาน

นอกจากนี้ เขายังใช้ความพยายามค้นหาข้อผิดพลาดทางวิชาการที่อาจมีอยู่ในอัลกุรอาน แต่เขาก็ไม่เจอะเจอ แม้เพียงเรื่องเดียว
 และแล้้ว เขาก็ต้้องยอมจำนนกับพจนารถของอัลลอฮฺทีี่ได้้ดำรัสความว่า

ความ เท็จจากข้างหน้าและจากข้างหลังจะไม่สามารถย่างเข้้าไปสู่อัลกุรอานได้้ (เพราะ) เป็็นการประทานจากพระผู้้ทรงปรีชาญาณ ผู้ทรงได้รับการสรรเสริญ

ผล พวงจากความทุ่มเทตลอดระยะเวลาสิบปีนี้ ทำให้ ดร.มอริส สามารถผลิตผลงานชิ้นเอกที่พูดถึงความมหัศจรรย์ของอัลกุรอาน ซึ่งได้รับการกล่าวขานอย่่างกว้้างขวางในประเทศยุโรป และทำให้้วงวิชาการทั่วโลกต้องสั่นสะเทือน


ตำราที่ท่านได้เขียนไว้้มีชืื่อว่่า คัมภีร์ไบเบิล คัมภีร์กุรอาน และ วิทยาศาสตร์
ผู้ เขียนได้ศึกษาบรรดาคัมภีร์อันประเสริฐ โดยการใช้ความรู้สมัยใหม่มาเปรียบเทียบ เป็นหนังสือที่มียอดจำหน่ายสูงสุดเล่มหนึ่ง จนกระทั่งขาดตลาดในเวลาอันรวดเร็ว และได้รับการต้อนรับอย่างดีในยุโรปและอเมริกาจนกระทั่งปัจจุบัน

มี นักวิชาการบางคนที่อัลลอฮฺได้ปกปิดดวงใจและนัยน์ตาของเขามิให้มองเห็น สัจธรรม ได้พยายามตอบโต้หนังสือเล่มนี้ แต่พวกเขาไม่ได้้เขียนอะไรเลยเว้้นแต่การโต้้แย้้ง ที่เต็มไปด้วยความอคติและความพยายามอันสูญเปล่า ที่บรรดาชัยฏอนได้ดลใจให้แก่พวกเขา
สิ่ง ที่แปลกกว่่านี้มีนักวิชาการตะวันตกบางคน ได้้เตรียมการที่จะตอบโต้หนังสือเล่มนี้ แต่หลังจากที่ได้อ่านหนังสือนี้อย่างลึกซึ้งและพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วน แล้้ว นักวิชาการเหล่านี้กลับกล่าวคำปฏิญาณตนและประกาศรับอิสลามเสียเอง


คุณรู้จัก ศ.ดร.มอริส บูกายย์์ ดีแค่ไหน ?

มอ ริส บูกายย์ เป็นชาวฝรั่งเศส  เกิดเมื่อ 19 July 1920 เติบโตจากครอบครัวที่เป็นคริสเตียนนิกายออร์ทอด็อกส์ เป็นศัลยแพทย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในฝรั่งเศสเขา้ รับอิสลามเมื่อปี 1982

คัมภีร์ ไบเบิล คัมภีร์อัลกุรอาน และ วิทยาศาสตร์ เป็นงานชิ้นเอกของ มอริส บูกายย์ ซึ่งเขียนขึ้นหลังจากการค้นคว้าหาข้อมูลอย่างยาวนาน ทั้งจากคัมภีร์ไบเบิล อัลกุรอานและแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ บูกายย์ ได้ทุ่มชีวิตให้กับการเรียนรู้อิสลามด้วยการศึกษาภาษาอาหรับ และคัมภีร์อัลกุรอานอย่างมุ่งมั่นก่อนที่จะสรุปว่า
ในชีวิตนี้ ผมไม่เคยพบความสอดคล้องระหว่างศาสตร์และศาสนาเลยจนกระทั่งผมได้ศึกษาอัลกุ รอาน  ในทัศนะอิสลามแล้วศาสนาและความรู้้เป็็นคู่่แฝดทีี่ไม่่สามารถแยกออกจากกัน ได้เลย

หนังสือเล่มนี้ได้รับการแปลไม่น้อยกว่า 17 ภาษา รวมทั้งภาษาไทยที่แปลโดย ดร.กิติมา อมรทัต ปรมาจารย์ด้านการแปล  ผู้ล่วงลับไปแล้ว ได้ผ่านการตีพิมพ์แล้ว จำนวน 3 ครั้ง (2542 2546 และ2551 ตามลำ ดับ) โดยสำนักพิมพ์์อิสลามิคอะเคเดมี

มอริส ยังได้กล่าวอีกว่า
อัล กุรอานสอดคล้องกับข้อมูลวิทยาศาสตร์สมัยใหม่อย่างลงตัวที่สุดความรู้สมัย ใหม่ทำให้เ้ราเข้าใจโองการ หลายโองการในอัลกุรอาน ซึ่งไม่สามารถตีความได้จนกระทั่งบัดนี้
มอริส กล่า่าวว่า่
หาก มีการอ้้างว่่า อัลกุรอานเป็็นตำาราทีี่เขียนโดยมนุษย์์แล้้ว เป็็นไปได้้อย่่างไรทีี่มนุษย์์์์ซึึ่งมีชีวิตในศตวรรษทีีีี่ 7 จะมีความรู้้้้อย่่่่างแตกฉานและถูกต้้องแม่่นยำในเนื้อหาวิชาการทีี่ไม่่ เคยเกิดขึ้นในยุคของเขา

มอริสยังเสริมอีกว่า
สัมผัส แรกที่เราสามารถรู้สึกได้หลังจากศึกษาอัลกุรอานแล้ว คือ ความน่าทึ่งของเนื้อหาอัลกุรอานทีี่เต็มไปด้้วยสาระข้้อมูลทางวิชาการมากมาย ในขณะที่ในคัมภีร์โตราห์ มีเนื้อหาที่เต็มไปด้วยความผิดพลาดและไม่สามารถยอมรับได้ในวงวิชาการ แต่ในอัลกุรอาน เราจะไม่พบความผิดพลาดในลักษณะนี้แม้เพียงเรื่องเดียว

 มหาบริสุทธิ์แด่อัลลอฮฺ ซึ่งได้กล่าวว่า
และหากปรากฏว่าพวกเจ้้าอยู่ในความแคลงใจใดๆ  เกี่ยวกับอัลกุรอาน
ที่เราได้ประทานลงมาแก่บ่าวของเราแล้ว ก็จงนำมาซูเราะฮฺหนึ่งเยี่ยงอัลกุรอานนี้
และจงเชิญชวนผู้ที่อยู่ในหมู่พวกเจ้านอกจากอัลลอฮฺเป็นประจักษ์พยาน หากพวกเจ้าเป็นผู้พูดจริง

มนุษย์ ทั้งมวล ไม่ว่ามุสลิมหรือไม่ใช่มุสลิุมก็ตาม ต่างก็ได้อ่านหรือได้ยินคำ ประกาศที่อหังการและท้้าทายสติปััญญาของมนุษย์์ทีี่สุด มาในลักษณะนี้ตั้งแต่ 14 ศตวรรษแล้ว แต่ยังไม่มีใครสักคนที่หาญกล้าตอบรับคำท้าทายนี้ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต จนกระทั่งวันกิยามะฮ์

 อัล กุรอาน คือคัมภีร์ที่อัลลอฮ์ทรงประทานลงมา เป็นเพราะความมหัศจรรย์ที่เหนือคำบรรยาย ที่สามารถยืนยันในสัจธรรมของ นบีมูฮัมมัด ที่มนุษย์สามารถใช้สติปัญญาพิสูจน์ไ์ด้
ความว่า "อะลิฟ ลาม มีม คัมภีร์นี้ ไม่มีความสงสัยใดๆในนั้น เป็นทางนำสำหรับบรรดาผู้ยำเกรงเท่า่นั้น"


ดัง นั้น วันนี้เราจะให้ร่างของเจ้ารอดพ้นจากทะเล เพื่อจักได้เป็นสัญญาณแก่ชนรุ่นหลังจากเจ้า และแท้จริงส่วนใหญ่ของมนุษย์เฉยเมยต่่อสัญญาณต่่าง ๆ ของเรา (ยูนุส / 92)

อายะฮฺนี้ นำความจริงให้แก่เราอย่า่งน้อย 3 ประการ
1) ศพฟาโรห์ถูกรักษาเป็นอย่างดี ไม่เน่าเปื่อยในทะเลเหมือนศพอื่น ๆ
2) เป็็นสัญญาณในเดชานุภาพของอัลลอฮฺสำหรับผู้้ศรัทธา
3) คนส่วนมากจะเมินเฉยกับสัญญาณของอัลลอฮฺ ดังกรณีศพฟาโรห์นี้ที่คนส่วนใหญ่ดูเป็นเรื่องราวที่เกียวเนื่องกับธุรกิจการ ท่องเที่ยวเชิงโบราณคดี มากกว่าที่จะเป็นสัญญาณแห่งความปรีชาของอัลลอฮฺ

อ.มัสลัน มาหะมะ แปลเเละเรียบเรียง
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา
ที่มา http://www.ansorimas200.blogspot.com/2013/07/blog-post_22.html?m=1