วันจันทร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

โรงพยาบาลอิสลามในอดีต

โรงพยาบาลอิสลามในอดีต



๑.โรงพยาบาลอะฎอดีในเมืองแบกแดด
โรงพยาบาลแห่งนี้สร้างโดยอะฎอด อัลเดาละฮฺ อิบนุ บะวัยฮฺ ในปีฮ.ศ.ที่ ๓๗๑ หลังจากอัรรอซี นายแพทย์ผุ้มีชื่อเสียงได้เลือกทำเลที่ตั้งของโรงพยาบาลด้วยการนำเนื้อ ๔ ชิ้นไปวางตามจุดต่างๆของเมืองแบกแดดในเวลากลางคืน และท่านได้เลือกชิ้นเนื้อที่มีกลิ่นดีที่สุดเพื่อตัดสินใจเลือกสถานที่ตั้งของโรงพยาบาลต่อไป และต่อมาโรงพยาบาลได้ถูกสร้างตรงบริเวณของเนื้อชิ้นนั้นและมีการใช้งบประมาณจำนวนมากในการสร้างครั้งนั้น  แพทย์ ๒๔ ท่านถูกแต่งตั้งให้ทำหน้าที่ในโรงพยาบาลนี้ พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกและสิ่งจำเป็นต่างๆ เช่น ห้องสมุดทางด้านวิทยาศาสตร์  เภสัชกรรม(ห้องผลิตยา) ห้องครัวและห้องเสบียง  ในปี ฮ.ศ.ที่ ๔๔๙ คอลีฟะฮฺอัลกออิมบิอัมรุลลอฮฺได้ปรับปรุงโรงพยาบาลแห่งนี้ใหม่และได้รวบรวมวัคซีนและยาที่หายากต่างๆเข้ามาไว้ในโรงพยาบาล เขาได้จัดเตรียมเตียงนอนและผ้าห่ม รวมทั้ง ยาหอม หมอน คนคอยดูแล แพทย์และพนักงานทำความสะอาดไว้สำหรับผู้ป่วย ในโรงพยาบาลมีคนเฝ้าประตูและห้องน้ำ ถัดจากตัวโรงพยาบาลจะเป็นสวนที่มีผลไม่และพืชผักทุกชนิด และเรือในทะเลสาบไว้สำหรับรับส่งคนยากจนและขัดสน แพทย์จะทำงานเป็น ๒ ช่วง คือผลัดเช้าและเย็น และแพทย์บางคนจะต้องอยู่ค้างคืนกับผู้ป่วย(ผลัดดึก)


๒.โรงพยาบาลนูรีในเมืองดามัสกัส
โรงพยาบาลแห่งนี้สร้างโดยผู้ปกครองและกษัตริย์ผู้ทรงความยุติธรรม คือ นูรุดดีน อัชชะฮีดในปี ฮ.ศ.ที่ ๕๔๙ หรือ ค.ศ.๑๑๕๔  ใช้เงินที่ได้รับจากค่าไถ่ตัวเชลยของกษัตริย์แฟรงกิช เมื่อสร้างเสร็จใหม่ๆ โรงพยาบาลนี้ได้ชื่อว่าเป็นโรงพยาบาลที่สวยที่สุดเท่าที่เคยมีการสร้างมาก่อนทั่วโลก ท่านคอลีฟะฮฺได้กำหนดเงื่อนไขว่า โรงพยาบาลแห่งนี้เป็นดรงพยาบาลสำหรับคนยากจนและขัดสน แต่ถ้าคนร่ำรวยคนใดต้องการเวชภัณทืจากโรงพยาบาลแห่งนี้ จะต้องได้รับอนุญาตจากท่านเท่านั้น  และเวชภัณท์ทุกชนิดมีบริการฟรีสำหรับทุกคนที่ต้องการ

นักเดินทางชื่อ อิบนุ ญุบัยรฺเดินทางมาถึงโรงพยาบาลในปี ฮ.ศ. ๕๘๐ เขาได้อธิบายถึงการดูแลผู้ป่วย การตรวจรักษาของแพทย์ที่นี่ ตลอดจนการจัดเตรียมยาและอาหารที่จำเป็นสำหรับผู้ป่วย มีแผนกพิเศษสำหรับผู้ป่วยทางจิต สถานที่ที่คนวิกลจริตถูกล่ามด้วยโซ่ในขณะที่พวกเขากำลังรับการรักษาและให้อาหาร สิ่งหนึ่งที่นักประวัติศาสตร์ได้กล่าวถึงว่า ในปีฮ.ศ. ๘๓๑ คนที่ไม่ใช่มุสลิมคนหนึ่ง(ผู้มีลักษณะภูมิฐานและรสนิยมชั้นสูง)มาท่องเที่ยวเมืองดามัสกัสและเมื่อเขาเข้าไปยังโรงพยาบาลนูรีและเห็นแพทย์จำนวนมากและเห็นการรักษาผู้ป่วยอย่างดีและอาหารที่ดีและสิ่งที่ดีต่างๆมากมายในโรงพยาบาล เขาจึงต้องการทดสอบความรู้ของแพทย์ ดังนั้น เขาจึงแกล้งทำเป็นป่วย และนอนพักในโรงพยาบาลเป็นเวลา ๓ วัน หัวหน้าแพทย์มาตรวจร่างกายเขาหลายครั้ง และเมื่อแพทย์ตรวจชีพจรของเขาจึงรู้ว่าเขาไม่ได้ป่วยแลเขาเพียงแค่ต้องการทดสอบความรู้ของแพทย์เท่านั้น ดังนั้น หัวหน้าแพทย์จึงสั่งอาหารดีๆให้กับเขา ไก่ตัวโตๆ ของหวานต่างๆ เครื่องดื่มและผลไม้ทุกชนิด หลังจากนั้น ๓ วัน หัวหน้าแพทย์ได้เขียนข้อความถึงเขาว่าสำหรับเรา การเลี้ยงดูแขกอย่างน้อยเป็นเวลา ๓ วัน... จากข้อความนี้ นักท่องเที่ยวคนนั้นรู้ว่า พวกแพทย์ทราบถึงสิ่งที่เขากำลังกระทำอยู่และการปฏิบัติของโรงพยาบาลที่มีต่อเขาตลอดเวลาที่เขาอยู่ในโรงพยาบาลก็คือการต้อนรับแขกนั่นเอง
โรงพยาบาลแห่งนี้เปิดให้บริการเช่นนี้จนถึงปีฮ.ศ.ที่ ๑๓๑๗ เมื่อโรงพยาบาลอัลฆุรอบาอฺถูกสร้างขึ้น ซึ่งปัจจุบันโรงพยาบาลแห่งนี้อย่ภายใต้การดูแของวิยลัยแพทย์แห่งมหาวิทยาลัยซีเรีย ดังนั้น โรงพยาบาลนูรีจึงถูกปิดลงและตึกของโรงพยาบาลถูกเปลี่ยนเป็นโรงเรียนเอกชน


๓.โรงพยาบาลมันซูรี
หรือที่รู้จักกันว่า โรงพยาบาลกอลาวูน” โรงพยาบาลแห่งนี้เคยเป็นบ้านของผู้ปกครองท่านหนึ่งซึ่งกษัตริย์อัลมันซูร ซัยฟุดดีน กอลาวูนดัดแปลงเป็นโรงพยาบาลสาธารณะในปีฮ.ศ.ที่ ๖๘๓ หรือ ค.ศ. ๑๒๘๔ กองทุนวะกอฟถูกก่อตั้งขึ้นเพื่อสนับสนุนด้านการเงินจำนวน ๑ พันดิรฮัมต่อปี และติดกับโรงพยาบาลจะเป็นมัสยิด โรงเรียนและห้องสมุดสำหรับเด็กกำพร้า เหตุผลของการสร้างโรงพยาบาลแห่งนี้มาจากเหตุการณ์หนึ่งในขณะที่กษัตริย์อัลมันซูร กอลาวูนกำลังนำทัพเผชิญหน้ากับโรมัน ในช่วงสงครามอัซซอฮิร บัยบัรซฺในปี ค.ศ.๑๒๗๕ ท่านมีอาการเจ็บป่วยในขณะที่อยู่ในเมืองดามัสกัส แพทย์ได้ดูแลรักษาท่านด้วยยาที่นำมาจากโรงพยาบาลนูรีและท่านอาการของหายก็เป็นปกติ ต่อมาท่านได้ไปเยี่ยมโรงพยาบาลด้วยตนเอง ท่านประทับใจมาก ดังนั้น ท่านจึงสาบานต่ออัลลอฮฺว่าถ้าท่านดำรงตำแหน่งเป็นกษัตริย์ ท่านจะสร้างโรงพยาบาลเช่นนี้ด้วย ดังนั้น เมื่อท่านดำรงตำแหน่งเป็นซุลฏอน ท่านซื้อบ้านหลังนี้และดัดแปลงเป็นโรงพยาบาลและระบบและการจัดการของโรงพยาบาลเป็นสิ่งแปลกที่น่าอัศจรรย์ที่สุดในโลก ท่านอนุญาตให้ประชาชนทุกคนเข้ารับการรักษาและใช้บริการจากโรงพยาบาล ทั้งผู้ชายและผู้หญิง อิสระชนและทาส กษัตริย์และประชาชนทั่วไป  เมื่อผู้ป่วยหายเป็นปกติและสามารถออกจากโรงพยาบาลได้ พวกเขาจะได้รับชุดใหม่  และใครเสียชีวิตจะมีจัดเตรียมกุบูร การห่อศพและฝังให้ แพทย์จะถูกแต่งตั้งให้ทำงานในสาขาต่างๆ และพนักงานทำความสะอาดและบริกรถูกจ้างมาเพื่อบริการผู้ป่วย ดูแลและทำความสะอาดผู้ป่วย เช่น ซักเสื้อผ้าและช่วยผู้ป่วยชำระล้างร่างกาย เป็นต้น ผู้ป่วยแต่ละคนจะมีคนคอยบริการ ๒ คนและผู้ป่วยแต่ละคนจะมีเตียงนอนพร้อมเครื่องนอนทุกอย่าง ผู้ป่วยจะถูกแยกเป็นแผนกต่างๆและแต่ละแผนกจะมีพื้นที่สำหรับหัวหน้าแพทย์เพื่อบรรยายให้ความรู้แก่นักเรียนแพทย์ สิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจอีกอย่างหนึ่งของโรงพยาบาลแห่งนี้คือการรับบริการไม่ได้จำกัดเฉพาะผู้ป่วยที่ถูกนำเข้าและพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลเท่านั้น  เพราะว่าคนทั่วไปที่ไม่ได้เจ็บป่วยก็สามารถขอยาบำรุง อาหารและเวชภัณท์ต่างๆที่เขาต้องการได้ การบริการอย่างมีมนุษยธรรมของโรงพยาบาลแห่งนี้คือสิ่งที่ยอดเยี่ยมมากซึ่งจักษุแพทย์ท่านหนึ่งของโรงพยาบาลกล่าวว่า ในแต่ละวันเขาให้การรักษาผู้ป่วยจำนวน ๔ พันคน รวมทั้งผู้ป่วยใน ผู้ที่กำลังหายดีและผู้ที่เพิ่งมีอาการ  และไม่มีผู้ป่วยคนใดที่หายดีแล้วจะได้รับอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลจนกว่าเขาจะได้รับเสื้อผ้าชุดใหม่และเงินจำนวนหนึ่งเพื่อใช้จ่ายในสิ่งที่จำเป็นเพื่อเขาจะได้ไม่ถูกบีบบังคับให้ทำงานหนักทันทีหลังจากหายป่วย
สิ่งที่น่าทึ่งอีกอย่างหนึ่งของโรงพยาบาลแห่งนี้คือ สิ่งที่ถูกระบุในสัญญาวะกอฟว่า ผู้ป่วยจะต้องได้รับบริการอาหารด้วยภาชนะที่ไม่เคยถูกใช้โดยผู้ป่วยคนอื่นมาก่อน ฉะนั้น มันจึงถูกห่อหุ้มอย่างดีก่อนนำมาให้ผู้ป่วย

อีกสิ่งหนึ่งที่น่าทึ่งของโรงพยาบาลคือ ผู้ป่วยที่มีปัญหาการนอนไม่หลับ เขาสามารถไปยังห้องเฉพาะที่พวกเขาสามารถผ่อนคลายด้วยการฟังเสียงที่ไพเราะหรือฟังนิทานหรือเรื่องเล่าที่ถูกเล่าโดยนักเล่าเรื่อง สำหรับคนที่กำลังหายเป็นปกติ การละเล่นที่น่าเพลิดเพลินหรือการแสดงของชนพื้นเมืองต่างๆจะถูกจัดไว้ให้พวกเขา  มุอัซซินประจำมัสยิดที่อยู่ติดกับโรงพยาบาลจะอะซานก่อนเวลาละหมาดฟาญัร(ซุบฮฺ) ๒ ชั่วโมง และมีการร้องอะนาชีดด้วยน้ำเสียงอันไพเราะเพื่อช่วยลดอาการปวดของผู้ที่นอนไม่หลับ

การปฏิบัติเช่นนี้ดำเนินเรื่อยมาจนกระทั่งถึงยุคสมัยแห่งการล่าอาณานิคมของฝรั่งเศสในปี ค.ศ.๑๗๙๘  นักวิชาการชาวฝรั่งเศสเห็นสิ่งเหล่านั้นด้วยตาของพวกเขาเองและได้บันทึกสิ่งที่พวกเขาได้เห็นเอาไว้ สิ่งนี้คือการรักษาที่โลกตะวันตกเพิ่งถูกค้นพบเมื่อเร็วๆนี้เอง
สิ่งนี้ทำให้ฉันนึกถึงสิ่งที่ฉันเคยอ่านเกี่ยวกับเมืองตริโปลี ที่มีกองทุนวะกอฟที่แปลกประหลาดถูกก่อตั้งขึ้นเพื่อจ้างคน ๒ คนให้เดินไปตามโรงพยาบาลทุกวันและคุยกันพอให้ผู้ป่วยได้ยิน ด้วยการพูดถึงอาการที่ดีขึ้นและความมีชีวิตชีวามากขึ้นของผู้ป่วย และอื่นๆ
เราคิดว่าคงจะเป็นการดีที่จะกล่าวถึงคำสั่งเสียต่างๆของกองทุนวะกอฟที่ถูกก่อตั้งเพื่อโรงพยาบาลแห่งนี้ ที่ถูกอ้างอิงโดยผู้เขียนหนังสือ ตารีค อัลบิมาริตานัต ฟิลอิสลาม(ประวัติของโรงพยาบาลในอิสลาม)
   
รางวัลที่ดีที่สุดที่ท่านจะได้รับนั้นมาจากการปฏิบัติงานที่หนักและยากลำบาก ซึ่งงานเช่นนี้จะมีผลตอบแทนมหาศาล  นี่คือสิ่งที่ทุกคนควรกระทำให้มากที่สุด สิ่งที่ดีที่สุดซึ่งทุกคนสามารถมุ่งมั่นไปสู่มันคือสิ่งที่จะนำผลประโยชน์และความพึงพอใจมาให้แก่เขามากที่สุด ทั้งให้ประโยชน์แก่คนรุ่นแรกและขยายต่อไปเรื่อยๆหลังจากนั้น  สิ่งนั้นคือการวะกอฟ คือสิ่งที่มีประโยชน์ต่อทุกคนและรางวัลการตอบแทนจะได้รับอย่างต่อเนื่อง ผลตอบแทนของการวะกอฟยิ่งใหญ่มาก เพราะเป็นการตอบแทนด้วยสวรรค์และเป็นการนำผู้วะกอฟให้ใกล้ชิดกับความพึงพอใจของผู้ที่ทรงเมตตายิ่ง  การบริจาคเช่นนี้คือสินสมรสของอัลฮูรุลอัยนฺและการใช้จ่ายเช่นนี้นำมาซึ่งขุมทรัพย์แห่งการตอบแทนอันยิ่งใหญ่ มันเป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดว่า สิ่งนี้ทำให้ผู้ป่วยและคนยากจนมีความสุขอย่างมาก และมันนำความสุขมาสู่หัวใจที่แตกสลาย มันทำให้พวกเขาประหยัดรายได้ของตนเองด้วยการให้ที่พักและการรักษาแก่พวกเขา การตอบแทน(จากอัลลอฮฺ)สำหรับการวะกอฟนี้ไม่สามารถคำนวณได้  ดังนั้น จงแจ้งข่าวดีแก่ผู้ที่ทำการค้ากับพระเจ้าของเขา ผู้ทรงเกรียงไกร ผู้ทรงอภัยยิ่ง ผู้ที่เฝ้ามองเขาตลอดเวลาและทรงรู้ความลับและความคิดที่อยู่คนในใจของเขา เพราะเขาให้การยืมที่ดีแก่พระองค์ ด้วยทรัพย์สินและความสามารถที่เขามี ด้วยการได้รับการตอบแทนเช่นนี้ ทำให้เขาคือคนหนึ่งในบรรดาผู้ประสบความสำเร็จ เพราะเขาช่วยเหลือมุสลิมที่ยากจนด้วยการบรรเทาความเจ็บปวดของเขาและการรักษาโรคภัยไข้เจ็บของเขาและการช่วยเหลือของเขาจะช่วยปกป้องเขาจากการลงโทษจากพระเจ้าของเขาในวันกิยามะฮฺ  ความหวังคือว่ามันจะช่วยทำให้เขามีตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่ต่อหน้าอัลลอฮฺและจะนำเขาให้ใกล้ชิดกับพระองค์เพื่อเขาจะได้ไม่ต้องกลัวการอธรรมใดๆและการสูญเสีย(รางวัลของเขา)(อัลกุรอาน ๒๐:๑๑๒)และสิ่งนั้นจะเป็นความดีสำหรับเขาซึ่งจะลบล้างความผิดให้แก่เขา เมื่อผู้ปกครองของเราคือซุลฏอนอัลมันซูร ผู้ทรงความรู้และผู้ยุติธรรม ทราบเรื่องนี้ ท่านได้ออกคำสั่งให้ก่อตั้งกองทุนวะกอฟสำหรับโรงพยาบาลมันซูรีทันที(ที่คือข้อตกลงของกองทุนวะกอฟได้ให้คำอธิบายและบอกตำแหน่งที่ตั้งของโรงพยาบาล และทรัพยากรอื่นๆของโรงพยาบาล) มันถูกตั้งขึ้นเพื่อรักษาผู้ป่วยมุสลิม ทั้ผู้ชายและผู้หญิง คนร่ำรวยและคนยากจน ในไคโรและชานเมือง ผู้ที่อาศัยอยู่ที่นั่นและผู้ที่มาจากภูมิภาคและจังหวัดต่างๆของอียิปต์ทุกคนและทุกชนิดของการเจ็บป่วย ไม่ว่าเป็นหนักหรือเบา ง่ายหรือยาก หรือโรคที่เกี่ยวกับสมรรถภาพต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโรคภายในหรือภายนอก การผิดปกติทางด้านจิตใจ เพราะการป้องกันรักษาคือหนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุดที่มนุษย์ต้องการโดยการใช้ยาที่ได้รับการรับรองจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ  ประชาชนที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลมีทั้งเป็นกลุ่มหรือตามลำพัง ผู้สูงอายุและคนหนุ่มสาว  ผู้ใหญ่และเด็ก ผู้หญิงและเด็กทารก และผู้ป่วยที่ยากจนไม่ว่าผู้หญิงหรือชายก็ได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกัน พวกเขาสามารถเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลและอยู่ที่นั่นจนกระทั่งพวกเขาหายเป็นปกติ พวกเขาได้รับการรักษาเช่นเดียวกันไม่ว่าจะเป็นคนในพื้นที่หรือคนที่มาจากต่างท้องถิ่น  คนที่แข็งแรงหรือคนที่อ่อนแอ  กรรมกรหรือผู้ดีมีตระกูล คนสำคัญหรือคนทั่วไป คนร่ำรวยหรือคนยากจน ประชาชนทั่วไปหรือผู้ปกครอง คนตาบอดหรือคนตาดี  ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาหรือผู้บังคับบัญชา ผู้มีชื่อเสียงหรือคนธรรมดาสามัญ คนชั้นสูงหรือคนรากหญ้า คนที่ใช้ชีวิตอย่างหรูหราหรือคนที่อยู่อย่างสมถะ เจ้านายหรือคนรับใช้ ทั้งหมดเหล่านี้ล้วนไม่ต้องเสียค่าบริการแต่อย่างใด เพราะทุกสิ่งคือการบริจาคให้อย่างบริสุทธิใจเพื่ออัลลอฮฺและด้วยการหวังการตอบแทนและความเมตตาจากพระองค์โดยการรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของผู้ที่ดูแลผู้ป่วย เช่น แพทย์ จุกษุแพทย์ ศัลยแพทย์ เภสัชกรและโภชนากร  คนที่ผลิตยาขี้ผึ้ง(ยาที่เป็นครีม)  ยาหยอดตา  ยาเม็ดและยาระบาย  ทั้งยาแผนโบราณและแผนปัจจุบัน และผู้ที่ดูแลสถานที่ พนักงานทำความสะอาด ผู้ดูแลคลังพัสดุ เลขานุการ  คนงานและเจ้าหน้าที่อื่นที่ทำงานในโรงพยาบาลและทุกสิ่งที่จำเป็นสำหรับอาหารที่ใช้เลี้ยงผู้ป่วย เครื่องดื่ม ยาหยอดตา ยาเหน็บช่องคลอดหรือทวารหนัก ขี้ผึ้ง ครีม ยาน้ำ ยาสมุนไพรและยาแผนปัจจุบัน เฟอร์นิเจอร์ หม้อและเครื่องมือต่างๆสำหรับผู้ป่วย
   
ผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลรายได้ที่เป็นผลกำไรจากกองทุนวะกอฟแห่งนี้ เป็นผู้ซื้อทุกสิ่งที่จำเป็นสำหรับผู้ป่วยทุกวัน เช่น สมุนไพร ภาชนะดินเผาสำหรับใส่อาหารของผู้ป่วย ถ้วยแก้วและภาชนะสำหรับใส่ยาน้ำ น้ำมันสำหรับปรุงอาหาร น้ำจากแม่น้ำไนล์อันจำเริญเพื่อใช้สำหรับดื่มและปรุงอาหารให้ผู้ป่วย และอื่นๆ และต้องห่อหุ้มอาหารทุกครั้งก่อนนำไปให้ผู้ป่วย  นอกจากนี้ รายได้สามารถใช้ซื้อพัดลมเพื่อใช้ในยามที่อากาศร้อน  ผู้ดูแลผลประโยชน์ของกองทุนวะกอฟนี้จะใช้เงินจากผลกำไรของกองทุนวะกอฟ ซื้อสิ่งต่างๆเหล่านี้อย่างเพียงพอกับความต้องการแต่ไม่ฟุ่มเฟือย  และไม่ใช้จ่ายในสิ่งที่ไม่มีความจำเป็น  ทุกสิ่งจะต้องดำเนินการตามความต้องการของผู้บริจาคเพื่อแสวงหาการตอบแทนจากอัลลอฮฺ  ผู้ที่รับผิดชอบดูแลกองทุนวะกอฟนี้ควรจะจ้างมุสลิมชาย ๒ คนที่เป็นยอมรับโดยทั่วกันว่าเป็นคนดีและไว้วางใจได้  คนหนึ่งทำหน้าที่ประจำห้องพัสดุที่จะแจกจ่ายให้แก่ผู้ป่วย ดังนั้น เขาจะมีหน้าที่แจกจ่ายยาน้ำ ยาหยอดตา ยาสมุนไพร ยาขี้ผึ้งและครีมโดยรับคำสั่งการจ่ายจากแพทย์  สำหรับอีกคนหนึ่ง จะได้รับยาน้ำซึ่งถูกสั่งให้ผู้ป่วยที่มีอาการทางจิต ทั้งผู้ชายและผู้หญิงที่พักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล เขาจะเป็นผู้นำยาไปให้ผู้ป่วยทั้งกลางวันและกลางคืน และให้บริการผู้ป่วยแต่ละคนตามที่แพทย์สั่ง  อาหารจะต้องปรุงในโรงพยาบาล โดยมีไก่ เนื้อและอื่นๆ ผู้ป่วยแต่ละคนจะได้รับภาชนะใส่อาหารเป็นของตนเองโดยไม่ใช้ร่วมกันกับผู้อื่น และห่อหุ้มทุกครั้งก่อนนำไปให้ผู้ป่วย เมื่อผู้ป่วยทุกคนรับประทานอาหารเสร็จ แต่ละคนก็จะได้รับยาหรือสิ่งที่แพทย์สั่งได้สั่งไว้ ทั้งตอนเช้าและตอนเย็น

ผู้ที่มีหน้าที่ดูแลรายได้ของกองทุนวะกอฟเป็นผู้จ่ายเงินให้แก่ผู้ที่เขามอบหมายให้ทำงานในโรงพยาบาลแห่งนี้ เช่น แพทย์ทั่วไป จักษุแพทย์และศัลยแพทย์ เป็นต้น ตามจำนวนเวลาที่พวกเขาทำงาน เขา(ผู้ดูแลกองทุน)คือผู้ตัดสินใจเกี่ยวกับการจัดหาเครื่องมือและอุปกรณ์ต่างๆและจ่ายสำหรับสิ่งเหล่านั้นโดยต้องไม่ตระหนี่และฟุ่มเฟือย แพทย์ทำหน้าที่ดูแลคนไข้ทั่วไปและคนไข้ที่มีอาการทางจิต ทั้งผู้ชายและผู้หญิง ผู้ที่พักรักษาตัวในโรงพยาบาล ด้วยการทำงานร่วมกันทั้งหมดหรือการทำงานเป็นช่วงเวลาตามที่ตกลงกันระหว่างพวกเขากันเองหรือด้วยการเห็นชอบของผู้ดูแลรับผิดชอบกองทุนวะกอฟ แพทย์จะต้องถามอาการผู้ป่วยและบอกผู้ป่วยว่าอาการดีขึ้นไม่ว่าผู้ป่วยจะมีอาการดีขึ้นจริงๆหรือแย่ลงก็ตาม และแพทย์ต้องสั่งจ่ายทุกสิ่งที่จำเป็นสำหรับผู้ป่วยไม่ว่าจะเป็นอาหารหรือเครื่องดื่มก็ตาม เพื่อว่าผู้ป่วยจะได้มีอาการดีขึ้น แพทย์จะต้องอยู่ประจำโรงพยาบาลในเวลากลางคืนด้วย ถ้าไม่ทั้งหมดก็บางส่วนสลับกัน  จักษุแพทย์จะต้องปฏิบัติหน้าที่ทุกเช้าเพื่อรักษาผู้ป่วยที่เป็นโรคตาและแพทย์ต้องรักษาทุกคนที่มาหาเพื่อว่าจะได้ไม่มีผู้ป่วยโรคตาคนใดไม่ได้รับการรักษา แพทย์จะต้องเป็นผู้ที่อ่อนโยนอย่างมากในการรักษาผู้ป่วยของเขา  ถ้ามีผู้ป่วยคนใดมีน้ำหนองในตาหรืออาการอื่นๆที่จำเป็นต้องปรึกษา……………………………………………………………………………………

ผู้ดูแลกองทุนวะกอฟเป็นดูแลค่าใช้จ่ายของผู้ที่เขาได้แต่งตั้งขึ้นในให้เป็นนักวิชาการเพื่อศึกษาวิจัยในทุกด้านของวิทยาการทางการแพทย์(แต่งตั้งนักวิจัยและดูแลเรื่องงบประมาณและเงินเดือนของเขา) เชคหรือนักวิชาการคนนี้จะทำงานในห้องใหญ่ที่ถูกออกแบบเป็นพิเศษตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในกองทุนวะกอฟ เพื่อศึกษาวิจัยในเรื่องต่างๆทางการแพทย์ตามระยะเวลาที่ผู้ดูแลกองทุนวะกอฟเห็นว่าเหมาะสม เพื่อว่าจำนวนแพทย์ในโรงพยาบาลจะได้ไม่มีจำนวนมากจนเกินความจำเป็น ผู้ดูแลทรัพย์สินของกองทุนวะกอฟแห่งนี้เป็นผู้จ้างพนักงานทำความสะอาด ทั้งผู้ชายและผู้หญิงเพื่อทำงานในโรงพยาบาล และจ่ายค่าตอบแทนให้แก่พวกเขาตามเห็นสมควร ตามลักษณะงานที่เขาต้องทำ เช่น บริการผู้ป่วยปกติและผู้ป่วยที่มีอาการทางจิตที่พักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลทั้งผู้ชายและผู้หญิง การทำความสะอาดเสื้อผ้าของผู้ป่วย การทำความสะอาดห้องต่างๆ และหน้าที่อื่นๆตามที่ได้รับมอบหมาย

ผู้ที่รับผิดชอบดูแลทรัพย์สินของกองทุนวะกอฟแห่งนี้เป็นผู้ดูแลค่าใช้จ่ายหรือจัดหาสิ่งที่จำเป็นสำหรับการห่อศพแก่ผู้ที่เสียชีวิตในโรงพยาบาล เขาเป็นผู้จัดหาทุกสิ่งที่จำเป็นต่อการอาบน้ำศพและซื้อผ้าห่อศพและน้ำหอมที่ใช้สำหรับชำระล้างศพ และเป็นผู้จ่ายเงินให้แก่ผู้ที่ทำความสะอาดศพ ผู้ที่ขุดหลุมและฝังศพในกุบูรของพวกเขาตามแบบฉบับของท่านรอซูลุลลอฮฺ และด้วยมารยาทที่ดี  ถ้าคนป่วยอยู่ในบ้านของเขาและเป็นคนยากจน ผู้ดูแลของทุนวะกอฟแห่งนี้อาจจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายหรือจัดหาสิ่งที่จำเป็นให้แก่เขา เช่น ยาน้ำ ยาเม็ด ยาขี้ผึ้งหรืออื่นๆ โดยใช้งบประมาณของโรงพยาบาลแห่งนี้ โดยไม่ต้องหักจากงบประมาณที่ได้จัดสรรไว้สำหรับผู้ป่วยใน  ถ้าผู้ป่วยคนนั้นเสียชีวิตในบ้านของเขาเอง ผู้ดูแลทรัพย์สินของกองทุนนี้เป็นผู้ดูแลค่าใช้จ่ายสำหรับเขา ทั้งการอาบน้ำศพ ผ้าห่อศพ การนำศพไปยังกุบูรและการฝังศพตามแบบอย่างที่ดี
เมื่อผู้ป่วยในคนใดก็ตามหายเป็นปกติ ผู้ดูแลทรัพย์สินของกองทุนวะกอฟแห่งนี้จะต้องซื้อเสื้อผ้าให้เขา ๑ ชุด โดยจะต้องไม่ฟุ่มเฟือย สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นให้ขึ้นอยู่ในดุลยพินิจของผู้ดูแลกองทุนตามที่เห็นว่าเหมาะสมและมีความจำเป็น ผู้ดูแลกองทุนวะกอฟแห่งนี้จะต้องระลึกถึงการยำเกรงอัลลอฮฺทั้งในที่ลับและที่เปิดเผย เขาจะต้องไม่ให้สิทธิพิเศษแก่คนที่มีสถานะสูงเหนือคนที่มีสถานะต่ำกว่า หรือแก่คนที่มีความแข็งแรงเหนือคนที่อ่อนแอ หรือแก่คนท้องถิ่นเหนือคนต่างถิ่นในทางกลับกัน เขาควรจะให้สิทธิพิเศษในการใช้จ่ายต่อสิ่งที่จะให้ผลบุญมากมายและนำเขาไปสู่การใกล้ชิดพระเจ้าแห่งสากลโลกมากยิ่งขึ้น



๔.โรงพยาบาลมัรรอกิส
ก่อตั้งโดยอมีร อัลมุอฺมินีน  อัลมันซูร อบูยูซุฟ ซึ่งเป็นกษัตริย์คนหนึ่งจากราชวงศ์อัลมุวะฮฺฮิดของโมร็อคโค ท่านเลือกพื้นที่ที่กว้างใหญ่ที่สุดของมัรรอกิสซึ่งเป็นที่ตั้งที่ดีที่สุดสำหรับโรงพยาบาลและสั่งให้สร้างโรงพยาบาลแห่งนี้ให้เป็นโรงพยาบาลที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ท่านสั่งให้ปลูกต้นไม้ สมุนไพรและพืชที่กินได้ทุกชนิดไว้ในโรงพยาบาลด้วย และสั่งให้ทำรางน้ำให้ไหลผ่านทั่วทุกตึกของโรงพยาบาลโดยใช้สระน้ำ ๔ แห่งด้วยกัน ซึ่งมีแห่งหนึ่งทำมาจากหินอ่อนสีขาว และท่านได้สั่งให้ตกแต่งโรงพยาบาลด้วยเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ที่ทำมาจากไม้ชนิดต่างๆ  ผ้าลินิน ผ้าไหม หนังสัตว์และสิ่งอื่นๆที่เกินกว่าจะพรรณาได้(อลังการมาก) ท่านก่อตั้งหน่วยงานเพื่อผลิตยาน้ำ โลชั่นและยารักษาตาและท่านได้จัดเตรียมเครื่องนอนสำหรับผู้ป่วยทั้งแบบที่ใช้กลางวันและกลางคืนและออกแบบเฉพาะตามฤดูกาลต่างๆ เช่น ฤดูร้อนหรือฤดูหนาว  เมื่อผู้ป่วยอาการดีขึ้น ถ้าเขาเป็นคนยากจน เขาจะได้รับเงินช่วยเหลือจนกว่าเขาจะสามารถเริ่มทำงานได้อีกครั้ง  ถ้าผู้ป่วยเป็นคนร่ำรวย ทางโรงพยาบาลก็จะคืนเงินค่ารักษาให้แก่เขา โรงพยาบาลให้บริการทั้งคนยากจนและคนร่ำรวย นอกจากนี้  คนต่างถิ่นทุกคนที่เจ็บไข้ได้ป่วยในมัรรอกิสสามารถเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลแห่งนี้จนกว่าเขาจะมีอาการดีขึ้นหรือเสียชีวิตไป ทุกวันศุกร์คอลีฟะฮฺจะมาที่โรงพยาบาลเพื่อเยี่ยมผู้ป่วย และสอบถามอาการของพวกเขารวมทั้งสอบถามพวกเขาว่าบรรดาแพทย์และพยาบาลปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไรบ้าง

นี่คือเพียง ๔ ตัวอย่างจากโรงพยาบาลจำนวนมากที่มีอยู่อย่างแพร่หลายทั้งทางด้านตะวันออกและตะวันตกของอาณาจักรอิสลาม ในขณะเดียวกัน ยุโรปกำลังร่อนเร่อยู่ในยุคมืดและไม่รู้จักโรงพยาบาลของเราเลย ทั้งด้านการจัดการที่เป็นเลิศและการแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนของการมีจิตสำนึกทางด้านมนุษยธรรมขั้นสูงของโรงพยาบาลต่างๆเหล่านั้น เราจะขอนำเสนอแก่ท่านต่อสิ่งที่นักบูรพาคดีชาวเยอรมัน แมกซ์ เมเยอร์ฮอฟ(Max Meyerhoff)กล่าวเกี่ยวกับสภาพของโรงพยาบาลของชาวยุโรปคริสเตียน ซึ่งอยู่ในสมัยเดียวกันกับโรงพยาบาลในอารยธรรมอิสลามที่ได้กล่าวมาข้างต้น ดร.แมกซ์ กล่าวว่า

โรงพยาบาลและระบบสาธารณสุขของมุสลิมในอารยธรรมอิสลามให้บทเรียนที่ขมขื่นแก่เรา

คัดลอกจาก
http://www.fityatulhaq.net/forum/index.php/topic,542.0/wap2.html
http://www.ansorimas200.blogspot.com/2013/07/blog-post_8565.html?m=1

ท่านนบีกินแตงโม!

ท่านนบีกินแตงโม!



ท่านหญิงอาอิชะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺอันฮา ได้เล่าว่า:

كَانَ رَسُولُ اللَّهِ -صلى الله عليه وسلم- يَأْكُلُ الْبِطِّيخَ بِالرُّطَبِ

ความว่า: ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะสัลลัม ได้รับประทานบิฏฏีคฺกับอินทผลัมสด
[บันทึกโดย อบูดาวูด เลขที่: 3836, อัตติรฺมิซีย์ เลขที่: 1843]

 "บิฏฏีคฺ" เป็นชื่อรวมเรียกผลไม้ สอง ชนิด นั่นคือ แตงโม (Watermelon) และแคนตาลูป (Cantaloupe, Melon)
แล้วบิฏฏีคฺที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะสัลลัม รับประทานคือแตงโมหรือแคนตาลูป ?

1. แตงโม
 ท่านอิบนุลก็อยยิมระบุว่าบิฏฏีคฺในหะดีษข้างต้นคือ "แตงโม"  ท่านได้กล่าวว่า:

والمرادُ به الأخضر

"และความหมายที่ประสงค์ของคำว่าบัฏฏีคฺคือผลสีเขียว แตงโม-"
[อัฏ-ฏิบ อัน-นะบะวียฺ 1/220]

2. แคนตาลูป
ท่านอิบนุหะญัรฺ (อัล-ฟัตหฺ 15/361) ระบุว่า บีฏฏีคฺ ในหะดีษข้างต้นคือ แคนตาลูป โดยได้อ้างหลักฐานสนับสนุนจากหะดีษอื่น
นั่นคือหะดีษจากท่านอนัส อิบนุ มาลิก เราะฎิยัลลอฮฺอันฮุ ท่านได้เล่าว่า:

رأيت رسول الله صلى الله عليه و سلم يجمع بين الرطب والخربز

ความว่า: ฉันได้เห็นท่าน เราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะสัลลัม รับประทานอินทผลัมร่วมกับคิรฺบิซ (แคนตาลูป).
[บันทึกโดยอัน-นะสาอีย์ ใน "อัส-สุนัน อัล-กุบรอ เลขที่: 6726, และอะหฺมัด เลขที่ : 12472]

"คิรฺบิซ" เป็นชื่อเฉพาะที่ใช้เรียกแคนตาลูป

อีกทั้งในพื้นที่ดังกล่าว แคนตาลูปก็มีมากกว่าแตงโม 

สรุป
คำว่า "บิฏฏีคฺ" มีความหมายว่า "แตงโม" และ "แคนตาลูป" แต่บิฏฏีคฺที่ระบุในหะดีษ น่าจะมีความหมายว่า "แคนตาลูป" มากว่า

วัลลอฮุอะอฺลัม
    
คัดลอกจาก
http://www.iqraforum.com/forum/index.php/topic,1829.0.html
http://www.ansorimas200.blogspot.com/2013/07/blog-post_5652.html?m=1

เครื่องหมายก่อนสิ้นลมหายใจ

เครื่องหมายก่อนสิ้นลมหายใจ



เครื่องหมายแรก 100 วัน
เครื่องหมายนี้เป็นเครื่องหมายแรกจากอัลลอฮ์ (ซบ.) ที่ประทานให้บ่าวพระองค์และเครื่องหมายนี้ไม่ใช่ทุกคนจะรู้สึกแต่เป็น ขึ้นอยู่กับพระประสงค์ของอัลลอฮ์แต่เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น

มุสลิมทุกคนจะได้รับเครื่องหมายนี้ เว้นแต่ว่าเขาจะรู้ตัวหรือไม่เท่านั้นเอง เครื่องหมายนี้จะเกิดขึ้นหลังจากฟัรดูอัสริ โดยที่ทุกส่วนของร่างกายจากปลายเส้นผมจรดเท้าจะมีความรู้สึกสั่นทั่วร่างกาย เหมือนกับเนื้อวัวที่เพิ่งถูกเชือดใหม่ๆ  ถ้าดูดีๆ แล้วเนื้อนั้นจะสั่น เครื่องหมายนี้ก็เช่นเดียวกัน

เครื่องหมายนี้จะมีความหมายอย่างมากสำหรับผู้ที่ได้รับและจะมีความรู้สึกว่านี่แหละ คือความหมายของความตายที่จะมาเยือนในไม่ช้า และเครื่องหมายนี้จะหยุดในเมื่อเรา รู้สึกตัวแล้ว (มาชาอัลลอฮ์) สำหรับผู้ที่ไม่ได้ฮีดายะห์หรือผู้ที่หลงใหลในเนียตมัตของดุนยาโดยไม่เคยคิด ถึงความตายเครื่อหมายนี้จะหยุดโดยไร้ประโยชน์ สำหรับผู้ที่รู้สึกตัว แล้วเครื่องหมายนี้แหละเป็นประโยชน์มากที่สุดเพราะจะได้ใช้เวลาอย่างคุ้มค่า เพื่อเตรียมตัวก่อนที่จะเดินทางไปในโลกหน้าหลังจากความตาย

เครื่องหมาย 40 วัน
เครื่องหมายนี้จะเกิดขึ้นหลังจากเวลาอัสริเช่นเดียวกัน โดยที่ส่วนของสะดือนั้นจะสั่น และเวลานี้ใบไม้ที่ถูกเขียนชื่อเราจะผลิออกจากต้นไม้ที่อยู่บนอารัช หลังจากนั้นมาลีกิลเมาต์จะนำใบนี้เพื่อที่จะเตรียมพร้อมสำหรับเรา และเริ่มที่จะติดตามเราตลอด และบางครั้งมาลีกิลเมาต์จะให้เห็นเรืองร่างของเขาให้เราได้เห็นสำหรับผู้ที่ถูกเลือกแล้วเขาจะมีความรู้สึกมึนสับสนในชั่วขณะ

เครื่องหมาย 7 วัน
สำหรับเครื่องหมายนี้ พระองค์จะให้แต่บ่าวที่เจ็บไข้ได้ป่วย จะสังเกตเห็นได้ว่าผู้ป่วยที่ไม่ค่อยรับประทานอาหารจะเริ่มมีความอร่อยในการกิน เครื่องหมายนี้จะสังเกตเห็นได้ง่าย

เครื่องหมาย 3 วัน
ในเวลานี้จะรู้สึกสั่นในบริเวณหน้าผากขวาและซ้าย เมื่อรู้สึกเครื่องหมายนี้ก็จงถือศีลอดเพราะหลังจากนี้ ท้องเราจะไม่มีนายิสมากนัก และจะเป็นการง่ายสำหรับคนที่จะมาจัดการกับมะยัต (ศพ) ญานาซะห์ เรา

คัดลอกจาก
http://shazulee.siamvip.com/
http://www.ansorimas200.blogspot.com/2013/07/blog-post_10.html?m=1

อุตรุจญะฮฺ คุณค่่าผลไม้ที่หะดีษกล่าวถึง

อุตรุจญะฮฺ คุณค่่าผลไม้ที่หะดีษกล่าวถึง



อุตรุจญะฮฺ ตามความหมายในมั๊วะอฺญัมอัลวะซีฎ คือ ใบและผลของมันคล้ายมะนาว แต่ใหญ่กว่า มีรสเปรี้ยว กลิ่นหอม ผลสีทอง

มีรายงานจากอะบีมูซา อัลอัชอะรี รอฎิยั้ลลอฮุอันฮุ ว่า ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าว่า

مَثَلُ الْمُؤْمِنِ الَّذِي يَقْرَأُ الْقُرْآنَ كَمَثَلِ الأُتْرُجَّةِ طَعْمُها طَيِّبٌ ورِيْحُها طَيِّبٌ

"อุปมามุอฺมินที่อ่านอัลกรุอ่านดังอุปไมยเหมือนกับอุตรุจญะฮฺ รสชาติของมันดี(อร่อย) และกลิ่นของมันดี(หอม)"

บันทึกโดย อัลบุคอรี บทว่าด้วยความประเสริฐของอัลกรุอ่าน

อัลอุตรุจญะฮฺ นั้นมีประโยชน์มากมาย ประกอบจาก 4 อย่าง ถูกผสมผสานโดยเฉพาะ

1.เปลือกของมัน มีประโยชน์ดังนี้ ถ้าหากนำเอาเปลือกของมันไปใส่ในตู้เสื้อผ้า สามารถทำให้อากาศที่เสียดีขึ้น และป้องกันเชื้อโรคในอากาศ และช่วยในการย่อยอาหาร .

2.เนื้อของมัน มีประโยชน์ดังนี้ สามารถลดอุณหภูมิความร้อนในกระเพาะอาหาร และทำให้น้ำหล่อเลี้ยงในร่างกายดี .

3.ความเปรี้ยวของมัน มีประโยชน์ดังนี้ สามารถลดอาการหอบ,โรคดีซ่าน,อาเจียน,โรคท้องร่วง สามารถชะลอความแก่ ทำให้กระเพาะอาหารแข็งแรง ขจัดความร้อนในตัว .

4.เมล็ดของมัน อิบนุ มาซะวัยฮฺ กล่าวว่า เมล็ดของมันนั้น สามารถขจัดยาพิษหรือพิษต่างๆได้ และสามารถขจัดเลือดเสียในร่างกาย โดยนำเอาเมล็ดของมันมาบดรวมกับเปลือกเท่ากับองคุลีหนึ่งและผสมกับน้ำองุ่นรับประทาน .

วัสสลาม.....

ที่มา
http://www.gotomuslim.net/group/healthy/forum/topics/1549062:Topic:190613
http://www.ansorimas200.blogspot.com/2013/07/blog-post.html?m=1

การรับวะฮียฺ

การรับวะฮียฺ

ขณะที่ท่านนะบี  กำลังอิบาดะฮฺสรรเสริญอัลลอฮฺอยู่ในถ้ำฮิรออฺ ท่านญิบรีล อะลัยฮิสสลาม(*1*) ได้มาหาท่าน เมื่อเห็นท่านญิบรีล ท่านนะบีรู้สึกหวาดกลัวและกังวล สิ่งแรกที่ญิบรีลสั่งให้ท่านนะบีทำ เป็นการพูดคุยระหว่างญิบรีลกับท่านนะบี 
(*1*) ท่านญิบรีลเป็นมลาอิกะฮฺท่านหนึ่งที่มีชื่อเสียง มีตำแหน่งสูง มีบารมี ณ อัลลอฮฺ อัลลอฮฺบอกในอัลกุรอานว่าท่านญิบรีล มีพลัง มีบารมี ท่านนะบีบอกว่า ครั้งแรกที่เห็นท่านญิบรีลด้วยรูปร่างแท้จริง นั่งบนเก้าอี้ มีปีก 600 ปีก ในซูเราะฮฺฟาฏิร อัลลอฮฺบอกว่า ผู้ทรงแต่งตั้งมะลาอิกะฮฺให้เป็นผู้นำข่าว ผู้มีปีกสอง สาม และสี่ ทรงเพิ่มในการสร้างตามที่พระองค์ทรงประสงค์อย่าเข้าใจว่าปีกมลาอิกะฮฺเหมือนปีกไก่ เราไม่เคยเห็นแล้วก็จินตนาการไม่ได้ เพียงแต่รู้ว่าเป็นปีก และความยิ่งใหญ่ของญิบรีล ท่านนะบีบอกว่าบังขอบฟ้าไปหมด และในเรื่องของเมืองซะดูมก่อนที่แผ่นดินจะสูบไป ท่านญิบรีลยกเมืองโดยใช้ปีกเดียว ยกขึ้นถึงชั้นฟ้าแล้วคว่ำลงมา หายไป เป็นทะเลเดดซี นี่คือสภาพของญิบรีล
คำแรกที่ท่านญิบรีลนำมาจากพระผู้เป็นเจ้ายังนี้ คือ إِقْرَأْ (อิกเราะ) - จงอ่าน เมื่อท่านนะบีได้ยินจึงตอบว่า مَا أَنَا بِقَارِئฉันไม่ได้เป็นผู้อ่าน (หมายถึงฉันอ่านไม่เป็น) (*2*) เพราะท่านนะบีไม่เคยเรียนหนังสือ ท่านนะบีนึกว่าจะให้อ่านหนังสือจึงบอกว่าอ่านไม่เป็น ญิบรีลจึงกอดหรือบีบ (*3*)ท่านนะบีอย่างรุนแรงจนสุดความสามารถในการอดทนของท่าน แล้วปล่อย และบอกอีกครั้งว่إِقْرَأْ   - จงอ่าน ท่านนะบีตอบอีกครั้งว่า مَا أَنَا بِقَارِئฉันไม่ได้เป็นผู้อ่าน” ญิบรีลจึงกอดหรือบีบจนสุดความสามารถของท่านที่จะทนได้เป็นครั้งที่สอง แล้วปล่อย และบอกอีกเป็นครั้งที่สามว่า إِقْرَأْ ท่านนะบีจึงตอบอีกครั้งว่า مَا أَنَا بِقَارِئ เช่นเดียวกัน สุดท้ายญิบรีลจึงบอก 

اقْرَأْ بِاسْمِ رَبِّكَ الَّذِي خَلَقَ ﴿١﴾ خَلَقَ الْإِنسَانَ مِنْ عَلَقٍ ﴿٢﴾ 
الْأَكْرَمُ ﴿٣﴾ الَّذِي عَلَّمَ بِالْقَلَمِ ﴿٤﴾ اقْرَأْ وَرَبُّكَ
 “จงอ่านด้วยพระนามแห่งพระเจ้าของเจ้า ผู้ทรงบังเกิด ทรงบังเกิดมนุษย์จากก้อนเลือด จงอ่านเถิด และพระเจ้าของเจ้านั้นทรงใจบุญยิ่ง ผู้ทรงสอนการใช้ปากกา” [อัลอะลัก 96:1-4]
เป็นซูเราะฮฺแรกที่ญิบรีลได้สอนท่านนะบี เป็นซูเราะฮฺที่ทำให้ประชาชาติอิสลามต้องภูมิใจในอัลกุรอาน 
الْقُرْان - อัลกุรอาน หมายถึง คัมภีร์ที่อ่านได้ เป็นตำราแห่งการอ่าน การศึกษา คำแรกที่ท่านญิบรีลนำลงมาไม่ใช่ จงเคารพภักดีไม่ใช่ จงละหมาดไม่ใช่ จงทำอิบาดะฮฺไม่ใช่ จงถือศีลอดแต่เป็น จงอ่านนั่นคือสิ่งที่เราต้องภูมิใจว่าศาสนาอิสลามเป็นศาสนาแห่งการอ่านและการศึกษา ต่อไปนี้ประชาชาติอิสลามจะไม่เป็นประชาชาติที่โง่เขลา เพราะได้รับคำสั่งจากอัลลอฮฺอย่างชัดเจน คำสั่งแรก คือ จงอ่านในสิ่งที่ต้องอ่าน หมายถึงต้องอ่านกุรอาน และอ่านด้วยพระนามของพระผู้อภิบาลของเจ้า ผู้ทรงสร้างทุกสิ่งทุกอย่างในโลกใบนี้ 
(*2*) สมัยก่อน อาหรับที่ไม่เรียนหนังสือก็พูดเป็น พูดเก่ง เพราะถึงแม้ว่าไม่ได้เรียนหนังสือแต่มีภาษาสูง
(*3*) มีอีกรายงานหนึ่งว่าวิธีกอดคือบีบคอ แต่ที่ระบุในซอฮีหฺบุคอรียฺ บีบมีหลายลักษณะคืออาจกอดหรือบีบหน้าอกก็ได้ แต่ที่ท่านนะบีบอกก็คือ มีการกระทำเกิดขึ้นกับท่าน ทำให้ท่านอดทนไม่ไหว 
มีหลายบทเรียนที่ได้รับจากเหตุการณ์นี้ บทเรียนแรกคือ อัลกุรอานมายังท่านนะบีด้วยความรุนแรง ญิบรีลบีบจนท่านนะบี  ทรมาน ลักษณะวะฮียฺที่ท่านนะบีรับจากอัลลอฮฺ มาด้วยความรุนแรงและหนักแน่นที่สุด ท่านนะบีได้เล่ากับท่านฮาริษ อิบนุ ฮิชาม  ซึ่งถามท่านนะบีถึงตอนรับวะฮียฺว่าวะฮียฺมาอย่างไร ท่านนะบีบอกว่า บางครั้ง วะฮียฺมาด้วยเสียงเหมือนเสียงระฆัง (แต่ไม่ใช่เสียงระฆัง) และนี่คือลักษณะที่รุนแรงที่สุดสำหรับฉัน 
ท่านหญิงอาอิชะฮฺบอกว่า วะฮียฺมายังท่านนะบีในช่วงคืนฤดูหนาวที่เมืองมะดีนะฮฺหนาวจัด เมื่อวะฮียฺมาและไปแล้ว ท่านนะบีเหงื่อท่วม (ซอฮีหฺบุคอรียฺ 1 หะดีษที่ 2) และอัลลอฮฺทรงตรัสว่า
 إِنَّا سَنُلْقِي عَلَيْكَ قَوْلًا ثَقِيلًا ﴿٥
 “แท้จริง เราจะประทานถ้อยคำที่หนักแน่นยังสูเจ้า” [อัลมุซซัมมิล 73:5]
อัลกุรอานเป็นถ้อยคำที่หนักแน่นและรุนแรง ศ่อฮาบะฮฺบางท่านเล่าว่า ตอนท่านนะบีขี่อูฐแล้วรับกุรอาน อูฐขาอ่อน ต้องล้ม เพราะวะฮียฺที่หนักและแรงมากมายังท่านนะบี https://blogger.googleusercontent.com/img/proxy/AVvXsEgAVz4UDQM0aUjyP0y1VM5OSV6EvCAyynVuL6clcSd_NZZxF7GBfWVwN-zLOXngSbSWHOTnTIt3OfuW5YLxnAznyAYbsIc_YEYBBPrL0Sqwa9HX_8jCTDOCdh9nn5I3YU_K9Vp64FmMWAw3NEzjmz7DRXzujTajle-Wv8pFxF02ro41=
ครั้งหนึ่ง ท่านซัยดฺ อิบนิ ษาบิต เคยมานั่งใกล้ชิดนะบีจนหัวเข่านะบีอยู่บนหัวเข่าท่าน ขณะนั้นวะฮียฺมา เซดบอกว่าหัวเข่าของท่านนะบีบีบหัวเข่าของฉันจนฉันกลัวว่าหัวเข่าจะแตก เนื่องจากความรุนแรงหรือความหนักที่มันเกิดขึ้นเมื่อมีวะฮียฺลงมายังท่านนะบี https://blogger.googleusercontent.com/img/proxy/AVvXsEgAVz4UDQM0aUjyP0y1VM5OSV6EvCAyynVuL6clcSd_NZZxF7GBfWVwN-zLOXngSbSWHOTnTIt3OfuW5YLxnAznyAYbsIc_YEYBBPrL0Sqwa9HX_8jCTDOCdh9nn5I3YU_K9Vp64FmMWAw3NEzjmz7DRXzujTajle-Wv8pFxF02ro41=
นี่คือเรื่องที่เราต้องวิเคราะห์ไว้เป็นบทเรียน สิ่งที่มีคุณค่ายิ่งใหญ่ที่สุดและมีความศักดิ์สิทธิ์มากที่สุดสำหรับประชาชาติอิสลามคือ อัลกุรอาน เพราะตามอะกีดะฮฺของอะฮฺลุสซุนนะฮฺ วัลญะมาอะฮฺ อัลกุรอานเป็น กะลามุลลอฮฺ (ใช้ภาษาราชาศัพท์เพื่อแยกระหว่างสิ่งที่ธรรมดากับไม่ธรรมดา คำพูดใช้กับมนุษย์ พระดำรัสก็ยังไม่สูงพอ) บรรดาสลัฟบอกว่าอัลกุรอานเป็นดำรัสที่มาจากอัลลอฮฺ สิ่งที่มาจากอัลลอฮฺจะมีความยิ่งใหญ่มากเพียงใด 

وَلَمَّا جَاءَ مُوسَىٰ لِمِيقَاتِنَا وَكَلَّمَهُ رَبُّهُ قَالَ رَبِّ أَرِنِي أَنظُرْ إِلَيْكَ ۚ قَالَ لَن تَرَانِي وَلَـٰكِنِ انظُرْ إِلَى الْجَبَلِ فَإِنِ اسْتَقَرَّ مَكَانَهُ فَسَوْفَ تَرَانِي ۚ فَلَمَّا تَجَلَّىٰ رَبُّهُ لِلْجَبَلِ جَعَلَهُ دَكًّا وَخَرَّ مُوسَىٰ صَعِقًا ۚ فَلَمَّا أَفَاقَ قَالَ سُبْحَانَكَ تُبْتُ إِلَيْكَ وَأَنَا أَوَّلُ الْمُؤْمِنِينَ
 “เขา (นะบีมูซา) ได้กล่าวขึ้นว่า โอ้พระเจ้าของข้าพระองค์ โปรดให้ข้าพระองค์เห็นด้วยเถิด โดยที่ข้าพระองค์จะได้มองดูพระองค์ พระองค์ตรัสว่า เจ้าจะเห็นข้าไม่ได้เป็นอันขาด แต่ทว่าเจ้าจงมองดูภูเขานั้นเถิด ถ้าหากมันมั่นอยู่ ณ ที่ของมัน เจ้าก็จะเห็นข้า” (คำว่า ตะญัลลาในคำแปลของอัลกุรอานใช้หลายคำ เช่น ปรากฏ” “เสด็จมายังภูเขา) [อัลอะอฺรอฟ 7:143]
มีรายงานบันทึกโดยอิหม่ามอิบนิญะรีร อัฏฏ๊อบรียฺว่า ส่วนจากพระองค์ที่อัลลอฮฺทรงอนุญาตให้ปรากฏบนภูเขาลูกนี้เท่ากับปลายนิ้วมนุษย์ เมื่อพระองค์ปรากฏเหนือภูเขา ภูเขาระเบิดละเอียดไม่เหลือชิ้นดี นี่เพียงแค่ส่วนที่ปรากฏจากพระองค์บนภูเขา แล้วกะลามุลลอฮฺที่ปรากฏกับท่านนะบีจะเป็นอย่างไร ท่านนะบีต้องรับความยากลำบากมากเพียงใดตอนรับวะฮียฺจากอัลลอฮฺ พลังที่อัลลอฮฺให้กับท่านนะบีไม่มีใครสู้ได้ (เวลาสงคราม มือหลุดเท้าหลุดเอาดาบฟันเลือดพุ่ง ไม่มีใครป้องกันเราได้นอกจากท่านนะบี มาแอบหลังท่านนะบี เพราะท่านนะบีเวลารบไม่กลัวเลย นี่คือความกล้าหาญและความแข็งแรงของท่าน) 
จะเห็นได้ว่าท่านนะบีมีความอดทนในเรื่องต่าง ๆ โดยเฉพาะเรื่องการรับวะฮียฺ นี่คือบทเรียนที่เราต้องนำมาใช้ในยุคปัจจุบัน ใครที่อยากรับพระเกียรติของอัลกุรอาน เพื่อเป็นแสงสว่างหรือรัศมีในการทำงานศาสนา ต้องรู้ว่าการรับภารกิจของอัลกุรอานไม่ใช่เรื่องเล็ก ต้องเข้มแข็ง ตอนที่ท่านนะบีรับวะฮียฺต้องมีภารกิจหนักเพียงใด ใครที่จะตามท่านนะบี จะนำอัลกุรอานไปเผยแผ่ ต้องมีภารกิจเหมือนท่าน ต้องเข้มแข็งเหมือนท่าน จะถือว่าอัลกุรอานเป็นเรื่องหากิน หาซองหรือรายได้ ไม่ใช่แบบอย่างนะบี เพราะฉะนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจเมื่อเห็นคนที่เอาอัลกุรอานมาหากิน จะเห็นว่าคนนั้นไม่มีศาสนา ทางนั้นก็มีเพลง ทางนี้ก็มีผู้หญิง ทางนู้นก็มีคนสูบบุหรี่ นี่ไม่ใช่ศาสนา ไม่ใช่คนฟังกุรอานหรือวะฮียฺจากอัลลอฮฺ นี่คือบทเรียนจากประวัติศาสตร์ที่เราต้องเรียนรู้และนำมาใช้ในชีวิตของเรา 
เมื่อศ่อฮาบะฮฺได้สดับฟังอัลกุรอาน ภาพที่จะปรากฏ ณ ที่นั้นคือ การเคารพ ความสงบ และความตั้งใจในการฟังพระดำรัสของอัลลอฮฺ ท่านมุฮัมมัด อิบนิกะอฺบ อัลกุเราะซียฺ เมื่อจะอ่านอัลกุรอานท่านจะจับอัลกุรอาน กอด และกล่าวว่า “กะลามุร็อบบี กะลามุร็อบบี คำพูดของพระเจ้าของฉันบางคนทำเรื่องเช่นนี้กับจดหมายคนที่รักเหมือนในละคร เราเคยทำกับอัลกุรอานบ้างหรือเปล่า? “อัลลอฮฺของฉันเคยรู้สึกหรือไม่ว่าเวลาจับอัลกุรอานแล้วมีความสุข มีความสงบ นี่คือสิ่งที่เราต้องเข้าใจเมื่อศึกษาประวัติของท่านนะบี มองเห็นถึงคุณค่าของอัลกุรอาน ท่านนะบีรับอัลกุรอานมาเพื่อเปลี่ยนแปลงโลกทั้งหมด เพื่อปรับปรุงสภาพของชีวิตมนุษย์ทั้งหลาย เพราะคนแรกที่เปลี่ยนชีวิตด้วยอัลกุรอานก็คือท่านนะบี 
เมื่อท่านนะบีได้ยินคำพูดของท่านญิบรีลที่นำอัลกุรอานมา ท่านหวาดกลัวมาก จึงกลับบ้านไปหาท่านหญิงคอดิญะฮฺภรรยาของท่าน เอาผ้าห่มมาห่มฉัน เอาผ้าห่มมาห่มฉัน ไม่ไหว ไม่ไหว ท่านนะบีได้ยินสิ่งที่หนักแน่นมากที่สุดสำหรับจิตใจของท่าน เมื่อท่านหญิงคอดิญะฮฺมาหาท่านนะบีถามว่า อะไรเกิดขึ้นกับท่านท่านนะบีตอบว่า ฉันเห็นอย่างนั้น...ท่านเล่าเหตุการณ์ให้ท่านหญิงคอดิญะฮฺฟัง 
ท่านนะบีปรึกษาภรรยาในเรื่องเกี่ยวกับสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ อัลกุรอาน ความเป็นนะบี และภารกิจอันยิ่งใหญ่ที่กำลังจะประสบในชีวิตของท่าน นั่นแสดงว่า โดยธรรมชาติระหว่างภรรยาสามี ต้องมีการปรึกษาและช่วยเหลือกันในปัญหาต่าง ๆ ที่ประสบ อัลลอฮฺตรัสในอัลกุรอาน 

لَّكُمْ وَأَنتُمْ لِبَاسٌ لَّهُنَّ هُنَّ لِبَاسٌ
 “นางทั้งหลายคือเครื่องนุ่งห่มของพวกเจ้า และพวกเจ้าคือเครื่องนุ่งห่มของพวกนาง” [อัลบะเกาะเราะฮฺ 2:187] 
เหตุใดอัลลอฮฺจึงทรงเปรียบเทียบว่าสามีภรรยาเหมือนเสื้อผ้าซึ่งกันและกัน? เพราะเวลาที่เปลือยกายเราจะรู้สึกอึดอัด รู้สึกอาย อยากปิดบังเอาเราะฮฺ เวลาแต่งตัวรู้สึกสบายใจ เปรียบเหมือนผู้ชายมีภรรยาที่พึ่งได้ทำให้สบายใจ ผู้หญิงมีสามีที่พึ่งได้เหมือนเสื้อผ้า เมื่อมีสามีแบบนี้สบายใจ เหมือนคนที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าจะสบายใจ ถ้ามีสามีแล้วยังไม่สบายใจ แสดงว่าเสื้อผ้าขาดไปหน่อย มีรูนิดนึง หรือสามีถ้ามีภรรยาแล้วรู้สึกอึดอัด ก็แสดงว่าต้องมีข้อบกพร่องบางอย่าง 
ชีวิตของท่านนะบีเป็นแบบอย่างทุกด้าน ท่านหญิงคอดิญะฮฺก็เป็นผู้หญิงที่รู้คุณค่าของสามี เธอไม่ได้บอกว่า อย่าไปอีกเลย เดี๋ยวมีเรื่อง เพราะภรรยามักหวงหรือกลัวว่าสามีจะหายไป จะออกไปไหนต้องระมัดระวัง แต่ท่านหญิงคอดิญะฮฺบอกท่านนะบีด้วยถ้อยคำที่หนักแน่นว่า “ท่านอย่ากลัวเลย ขอสาบานด้วยพระนามของอัลลอฮฺ อัลลอฮฺไม่ทอดทิ้งท่านหรอก เพราะเวลามีคนยากจนท่านช่วย เวลามีคนลำบากท่านอุดหนุนสนับสนุน เวลามีแขกมาท่านก็ให้เกียรติแขกเต็มที่” (หมายถึง ท่านนะบีมีคุณธรรม มีจริยธรรม มีความดีงามในชีวิตของท่าน จึงไม่ควรที่พระผู้เป็นเจ้าจะทิ้งท่าน) นี่คือความคิดของคนฉลาด ซึ่งสนับสนุนท่านนะบี ไม่ต้องกลัว ท่านไม่เคยทำผิด ท่านเป็นคนดี และคนที่ทำความดีอัลลอฮฺจะไม่ทิ้งเขา 
ท่านหญิงคอดิญะฮฺพาท่านนะบีไปหา วะเราะเกาะฮฺ อิบนุ เนาฟัล (*4*) ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกับท่านหญิงคอดิญะฮฺ ท่านหญิงคอดิญะฮฺบอกให้ท่านนะบีเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับวะเราะเกาะฮฺ เพราะวะเราะเกาะฮฺมีข้อมูลเรื่องราวเกี่ยวกับนะบีที่มาก่อน (นี่คือความฉลาดของท่านหญิงคอดิญะฮฺ ที่รู้ว่าเรื่องนี้ต้องมีเบื้องหลังเกี่ยวกับศาสนา จึงไปหาวะเราะเกาะฮฺ) เมื่อท่านนะบีเล่าเหตุการณ์เกี่ยวกับท่านญิบรีล วะเราะเกาะฮฺนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า หากที่ท่านได้เล่ามาเป็นความจริง นี่คือสิ่งที่มาหาท่านนะบีมูซา เรียกว่า อันนามูส (หมายถึงสิ่งเร้นลับที่มายังท่านนะบีจากท่านญิบรีล) สิ่งที่มาหาท่านก็คือ ญิบรีล ที่มาหาท่านนะบีมูซา ถ้าท่านพูดจริง แสดงว่าท่านเป็นนะบี ฉันอยากมีอายุยืนยาวและแข็งแรงขณะที่ท่านจะถูกขับไล่จากมักกะฮฺขณะที่วะเราะเกาะฮฺพูดเช่นนี้ ท่านนะบียังไม่เรื่อง จึงถามว่า กลุ่มชนหรือเผ่าของฉันจะไล่และต่อต้านฉันหรือท่านนะบีแปลกใจ วะเราะเกาะฮฺบอกว่า ไม่มีใครในที่มายุคก่อนหน้าท่าน นำกุรอาน วะฮียฺ หรือคำสั่งของอัลลอฮฺมาสอนผู้คน เว้นแต่ต้องถูกต่อต้าน” 
(*4*) วะเราะเกาะฮฺ เป็นชาวกุเรชท่านหนึ่งที่ไปศึกษาศาสนาทั่วโลก ไปเมืองชาม,ฟาริส และสุดท้ายท่านได้เข้าศาสนาคริสต์ที่ไม่ได้ถูกบิดเบือน และมีความรู้วิชาการเกี่ยวกับศาสนาคริสต์จนกระทั่งสามารถเขียนไบเบิลอินญีลและเตารอต ด้วยภาษาฮิบรู (บันทึกโดยบุคอรียฺ) ท่านหญิงอาอิชะฮฺเล่าว่า วะเราะเกาะฮฺมีความรู้เกี่ยวกับศาสนาก่อนหน้าท่านนะบี จนกระทั่งสามารถเขียนอินญีลและเตารอตเป็นภาษาฮิบรู (ภาษาเดิมของนะบีมูซาและนะบีอีซา) ได้
คุณค่าของประวัติศาสตร์เหมือนเป็นคำแนะนำในทุกยุคทุกสมัย คนที่เผยแผ่ศาสนา คนที่เผยแผ่สัจธรรม คนที่พูดความจริง คนที่นำคำสั่งสอนของอัลลอฮฺมาสู่คนอื่น ต้องเตรียมทำใจ ท่านมีหน้าที่พูดสัจธรรม ท่านต้องถูกต่อต้าน ไม่ว่าจะเป็นใคร เมื่อพูดจริงต้องถูกต่อต้าน โดยเฉพาะคนที่นำวะฮียฺมา พูดด้วยหลักการ พูดด้วยหลักฐาน คนที่พูดลอย ๆ ก็จะลอยไป แต่คนที่แข็ง หนักแน่น มีจุดยืน ก็ต้องมีการเผชิญหน้า
ท่านนะบีพูดตรงไปตรงมา รูปเจว็ดพูดไม่ได้ คนมีสติปัญญาเอาอินทผลัมมากวนแล้วปั้นเป็นรูปเจว็ดเพื่อบูชา เสร็จแล้วก็เอามากิน พูดเตือนยังไงก็ไม่รู้เรื่อง ท่านนะบีจึงต้องประณามรูปเจว็ดของพวกเขา ประณามสติปัญญาของพวกเขา ต้องพูดตรงไปตรงมา พูดอ้อมไม่ได้ เหมือนปัจจุบันนี้ เวลาพูดเรื่องชิริกเราบอกว่าเราพูดเฉพาะของเรา ไม่เกี่ยวกับของคนอื่น จะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อของคนอื่นนี่ล่ะที่มีอยู่สมัยท่านนะบี ชิริกที่มุสลิมทำก็เป็นชิริก แต่ไม่ใช่ชิริกแท้ ชิริกที่เราเห็นกันเต็มบ้านเมืองไปหมด นี่คือชิริกแท้ ๆ แล้วถ้าเราบอกไม่ใช่หน้าที่เรา คนนี้ไม่สามารถเข้าใจศาสนาเราได้ เมื่อไปดูท่านนะบีท่านนำอัลกุรอานมาสอนชาวกุเรชที่ทำชิริกเหมือนที่อยู่ในบ้านเมืองของเรา ท่านนะบีก็พูดตรงไปตรงมา 
ท่านนะบีแปลกใจว่าญาติพี่น้องของท่านจะขับไล่ท่านหรือ วะเราะเกาะฮฺบอกว่า ไม่รอด ไม่มีใครนำสัจธรรมมาบอกคนอื่นเว้นแต่จะถูกต่อต้านท่านนะบีกลับบ้านไป คิดว่าในโลกนี้กุฟรฺ (ชิริก) เต็มไปหมด แล้วท่านมีหน้าที่นำเอาสัจธรรมไปบอกคนอื่น บางครั้งสามีพูดจริงกับภรรยาหรือภรรยาพูดจริงกับสามีก็เครียดทั้งคืน นอนไม่หลับ เพราะบอกความจริง แต่ท่านนะบีตั้งใจแล้วว่าต้องนำสัจธรรมไปบอกคนทั้งโลก ต้องเครียดมากกว่า เมื่อกลับบ้าน ท่านหญิงคอดิญะฮฺบอกว่านอนพักผ่อนเถิด ท่านนะบีบอก “ผ่านพ้นไปแล้ว ช่วงเวลาที่ต้องนอนหลับพักผ่อน ไม่มีเวลาแล้ว” นี่คือภารกิจของท่านนะบีซึ่งเป็นตัวอย่างของคนที่เผยแผ่ศาสนา ไม่มีเวลาพักผ่อนแล้ว เพราะชีวิตของท่านต้องใช้หมดไปกับการแก้ไขปัญหาในโลกนี้ เจว็ดเต็มกะอฺบะฮฺ 300 กว่ารูป ซินาทั่วมักกะฮฺ ดอกเบี้ย ความเท็จ ความลามก เต็มไปหมด ท่านนะบีต้องทำอย่างไร 
ท่านนะบีเริ่มชีวิตใหม่ คนแรกที่เปลี่ยนชีวิตด้วยวะฮียฺหรืออัลกุรอานก็คือ ท่านนะบี ไม่มีแล้วเวลาสำหรับนอนหลับ ต่อไปเราจะได้เห็นว่าอัลกุรอานเปลี่ยนแปลงชีวิตของทุกคนที่รับอัลกุรอานอย่างแท้จริง
มาวิเคราะห์คุณค่าของวะฮียฺ เพื่อให้เราได้สัมผัสคุณค่าของอัลกุรอาน อัลกุรอานที่มีคุณค่าและศักดิ์สิทธิ์มากที่สุดในชีวิตของเรา กลับถูกโยนทิ้งไว้เบื้องหลัง กลายเป็นเรื่องที่ไม่มีคุณค่าในชีวิตของเรา เมื่อมีปัญหา อัลกุรอานคือสิ่งสุดท้ายที่จะนึกถึง เราต้องเลิกสภาพชีวิตเช่นนี้ บางคนอ่านอัลกุรอานคล่อง สามารถศึกษารู้ความหมายอัลกุรอาน แต่ชีวิตของเขาไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย เหมือนคนที่ปฏิเสธอัลลอฮฺ หรือคนที่ไม่มีหลักการศาสนา ไม่มีคุณค่าในชีวิต 

กลุ่มชนที่ประเสริฐ

บรรดานักประวัติศาสตร์บอกว่า ช่วงแรกที่ท่านนะบีได้รับวะฮียฺจากอัลลอฮฺในปีที่ 2 มีเหตุการณ์มิอฺรอจที่ท่านนะบีขึ้นไปยังชั้นฟ้าแล้วรับคำบัญชาให้ละหมาด 5 เวลา แต่ก่อนหน้านั้นมีการให้ละหมาดกลางคืนเป็นฟัรฎู 

﴿٣﴾ يَا أَيُّهَا الْمُزَّمِّلُ ﴿١﴾ قُمِ اللَّيْلَ إِلَّا قَلِيلاً ﴿٢﴾ نِصْفَهُ أَوِ انقُصْ مِنْهُ قَلِيلاً
 “โอ้ผู้ห่มกายเอ๋ย จงยืนขึ้นละหมาด (เวลากลางคืน) เว้นแต่เพียงเล็กน้อย ครึ่งหนึ่งของเวลากลางคืน หรือน้อยกว่านั้นเพียงเล็กน้อย” [อัลมุซซัมมิล 73:1-3]  
เป็นคำสั่งสำหรับท่านนะบีให้ยืนละหมาดกลางคืนตลอดคืน ไม่เช่นนั้นก็ครึ่งกลางคืน ไม่เช่นนั้นก็ส่วนหนึ่งในกลางคืน บรรดานักประวัติศาสตร์บอกว่าท่านนะบีและศ่อฮาบะฮฺได้นำอัลกุรอานมาอ่านตอนละหมาดกลางคืนหนึ่งปีจนกระทั่งเท้าบวม 






เครดิต http://www.islaminthailand.org/dp6/book/export/html/4585