วันจันทร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

สัญชาติญาณเป็นสิ่งที่อัลลอฮ์ทรงสร้างให้กับมนุษย์โดยติดตัวเขามาตั้งแต่กำเนิด

สัญชาติญาณเป็นสิ่งที่อัลลอฮ์ทรงสร้างให้กับมนุษย์โดยติดตัวเขามาตั้งแต่กำเนิด



สัญชาติญาณเป็นสิ่งที่อัลลอฮ์ทรงสร้างให้กับมนุษย์โดยติดตัวเขามาตั้งแต่กำเนิด

ท่านศาสดามูฮัมหมัดกล่าวว่า ไม่มีผู้ที่เกิดมาคนใด นอกจากเขาจะเกิดมาตามธรรมชาติ แล้วบิดามารดาของเขาจะทำให้เขาเป็นยิว เป็นคริสเตียน และเป็นพวกบูชาไฟ...” (บันทึกโดยบุคอรีและมุสลิม)

ดังนั้นเจ้า (มูฮัมหมัด) จงผินหน้าของเจ้าสู่ศาสนาที่เที่ยงแท้โดยเป็นธรรมชาติของอัลลอฮ์ที่พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมาบนมัน ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในการสร้างของอัลลอฮ์ นั่นคือศาสนาอันเที่ยงตรง แต่มนุษย์ส่วนมากหารู้ไม่” (อัรรูม : 30)

การศรัทธาและเคารพสักการะต่อพระเจ้าเป็นสัญชาติญาณดั้งเดิมของมนุษย์ทุกคน เนื่องจากในขณะที่จิตวิญญาณอันบริสุทธิ์ของมนุษย์ถูกบังเกิดขึ้นในโลกแห่งวิญญาณก่อนที่จะถูกบังเกิดมาบนโลกใบนี้นั้น อัลลอฮ์ทรงตอกย้ำการเป็นพระเจ้าของพระองค์ต่อวิญญาณเหล่านั้น พร้อมกันนั้นเหล่าดวงวิญญาณต่างก็ยืนยันการเป็นพระเจ้าของอัลลอฮ์ไว้อย่างหนักแน่น

และ (จงรำลึกเถิด) ขณะที่พระผู้อภิบาลของเจ้าได้เอาเชื้อสายมนุษย์มาจากสันหลังของพวกเขา และพระองค์ทรงให้พวกเขายืนยันต่อตัวของพวกเขาว่า ข้ามิใช่พระเจ้าของพวกเจ้าดอกหรือ ?” พวกเขาก็ตอบว่า ใช่แล้วพวกเราขอเป็นพยาน (ยืนยันว่าพระองค์คือพระเจ้าของพวกเราโดยแท้จริง) เพื่อ (ป้องกันมิให้) พวกเจ้ากล่าว (แก้ตัว) ในวันแห่งการฟื้นคืนชีพว่า แท้จริงพวกเราไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้” (อัลอะร๊อฟ : 172) 

เมื่อดวงวิญญาณถูกส่งมาบังเกิดเป็นมนุษย์ พวกเขาจึงเรียกร้องและดิ้นรนเพื่อแสวงหาพระเจ้าของพวกเขา ดั่งเคยมีมาแต่ก่อนกำเนิดในขณะที่เป็นวิญญาณ ซึ่งแน่นอนว่าความดิ้นรนดังกล่าวนี้เป็นไปตามธรรมชาติของสัญชาติญาณเดิม

และเมื่อได้มีการกล่าวแก่พวกเขาว่า จงปฏิบัติตามคำบัญชาที่อัลลอฮ์ได้ทรงประทานมา พวกเขาตอบว่า เราจะปฏิบัติตามเฉพาะที่เราพบว่าบรรพบุรุษของเราได้ปฏิบัติ ทั้ง ๆ ที่บรรพบุรุษของพวกเขาไม่ได้ใช้สติปัญญาและไม่ได้อยู่ในทางนำที่ถูกต้องกระนั้นหรือ” (อัลบากอเราะห์ : 170)

แต่เมื่อมนุษย์อยู่ในโลกวัตถุ แวดล้อมด้วยวัตถุและสังคมของผู้ให้กำเนิด (พ่อแม่) ที่มีความเชื่อและความงมงายที่ยึดถือกันมาจากบรรพบุรุษ จนทำให้จิตวนเวียนอยู่ในความเชื่อดังกล่าว ดังนั้นเมื่อมนุษย์ปักใจเชื่อและศรัทธาในสิ่งดังกล่าว พวกเขาจะยึดสิ่งเหล่านั้นเป็นพระเจ้า เป็นผู้ในความคุ้มครองและกราบไหว้สิ่งเหล่านั้นอย่างขาดสติ ความสัมพันธ์ดังกล่าวจึงได้กลบสัญญาณดั้งเดิมอันเป็นสัญชาติญาณบริสุทธิ์ที่ยึดอัลลอฮ์เป็นพระเจ้า ซึ่งเป็นลักษณะปฏิเสธการเป็นพระเจ้าของอัลลอฮ์โดยปริยาย

ท่านศาสดามูฮัมหมัด (ศ็อลฯ) กล่าวว่า เมื่อเด็กเกิดมานั้น จะมีจิตที่บริสุทธิ์ แต่พ่อแม่ของเขาทำให้เขาเป็นคริสเตียน เป็นยิว เป็นพวกบูชาไฟ” 

นี่แหละเป็นสิ่งที่ชี้ชัดได้อย่างดี เมื่อมนุษย์เกิดมานั้นมีจิตที่บริสุทธิ์ คือยึดมั่นต่ออัลลอฮ์และมีจิตซาบซึ้งต่ออัลลอฮ์ แต่เมื่อถือกำเนิดมาบนโลกใบนี้ โสตประสาททุกส่วนของมนุษย์ก็เริ่มรับเอาโลกและความเชื่อของชัยฏอนมารร้ายมาไว้ในจิต จนทำให้หัวใจของพวกเขาบอดจากสัจธรรมที่ว่า อัลลอฮ์องค์เดียวเท่านั้นคือพระเจ้าที่แท้จริง

อัลลอฮ์ทรงตรัสในฮาดิษกุดซีย์ต่อท่านศาสดามูฮัมหมัด (ศ็อลฯ) ว่า

“ (โอ้มูฮัมหมัดเอ๋ย) เจ้าจงทำหัวใจของเจ้าให้ว่าง เพราะแท้จริง หัวใจของเจ้านั้นเป็นบ้านของข้า (การรำลึกถึงอัลลอฮ์จะเข้ามาแทนที่)

หากหัวใจเต็มไปด้วยเรื่องต่างๆที่เกี่ยวกับโลกนี้ การรำลึกถึงอัลลอฮ์ในจิตใจก็จะหายไป แน่นอนอัลลอฮ์ทรงใช้ให้บ่าวของพระองค์มอบหมายการงานต่างๆแด่พระองค์ เพื่อให้จิตหลุดพ้นจากความวิตกกังวลต่างๆ และเมื่อบ่าวของพระองค์อยู่กับพระองค์ พระองค์ก็จะทรงอยู่กับบ่าวผู้นั้น ดังที่อัลลอฮ์ทรงตรัสว่า


ดังนั้นพวกเจ้าจงรำลึกถึงข้าเถิด ข้าก็จะรำลึกถึงพวกเจ้า และจงขอบคุณข้าเถิด และจงอย่าเนรคุณต่อข้าเลย” (อัลบะกอเราะห์ : 152)

คัดลอกจากหนังสือ "อิสลามทำไม?"
ที่มา http://www.ansorimas200.blogspot.com/2013/07/blog-post_90.html?m=1

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น