มัมมี่ ฟาโรห์ และการประกาศรับอิสลามของแพทย์ชาวฝรั่งเศส มอริส บูกายย์
อ.มัสลัน
มาหะมะ แปลเเละเรียบเรียง
สิ่งมหัศจรรย์ที่แสดงความมีเดชานุภาพของอัลลอฮ์
กรณีศพฟาโรห์์์์
เรื่่องราวของมัมมีี่ ฟาโรห์
และการประกาศอิสลามของแพทย์ผู้โด่งดังชาวฝรั่งเศส ชื่อ มอริส บูกายย์ Dr.Maurice Bucaille
"ดังนั้น
วันนี้เราจะให้ร่างของเจ้ารอดพ้นจาก ทะเล
เพื่อจักได้เป็นสัญญาณแก่ชนรุ่นหลังจากเจ้า และแท้จริงส่วนใหญ่ของมนุษย์เฉยเมยต่อสัญญาณต่าง
ๆ ของเรา"
(ยูนุส / 92)
ช่วง ที่นายฟรองซัวส์ มิตเตอร์รองด์
ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีฝรั่งเศส ปี 1981 รัฐบาลฝรั่งเศส ได้ดำเนินการขออนุญาตจากรัฐบาลอียิปต์
ให้ส่งมัมมี่ฟาโรห์ไปยังประเทศฝรั่งเศสเพื่อทำการชันสูตรและบำรุงรักษา
หลังจากนั้นก็มีการเคลื่อนย้ายศพจอมอหังการที่สุดเท่าที่โลกเคยรู้จัก
ที่ ฝรั่งเศส
...ขณะที่ขบวนเคลื่อนย้ายมัมมี่ฟาโรห์ลงจากบันไดเครื่องบิน ประธานาธิบดีพร้อมด้วยคณะรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่ระดับสูงของประเทศฝรั่งเศส
ได้้เข้้าแถวต้อนรับมัมมีี่ฟาโรห์์และคณะอย่างยิ่งใหญ่สมเกียรติ !!!
เสมือนกับพิธีต้อนรับพระราชาและเสมือนว่าฟาโรห์ยังมีชีวิตอยู่
และกำลังร้องตะโกนแก่ชาวอียิปต์ว่า ข้าคือพระเจ้าที่สูงส่งของพวกเจ้า
หลัง จากพิธีต้อนรับเสร็จสิ้นลง...
ศพจอมอหังการก็ถูกเคลื่อนย้ายด้วยขบวนรถอย่างยิ่งใหญ่ซึ่งไม่ด้อยกว่าพิธี ต้อนรับ
จากนั้นศพมัมมี่ถูกนำไปยังศูนย์พิพิธภัณฑ์แห่งชาติ เพื่อทำการชันสูตรโดยคณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
ภาพ ที่ท่านเห็นด้านล่างนี้
คือภาพถ่ายระยะใกล้ของ ฟาโรห์โรเมสิสที่สอง
สังเกตได้้ว่่ามือทั้ังสองข้้างอยู่ในสภาพกอดอก แพทย์ผู้เป็นห้วหน้าทีม
ของการชันสูตรศพในครั้งนี้คือ ศ.นพ.มอริส บูกายย์
ทีมแพทย์ชันสูตรต่างกุลีกุจอตรวจรักษาศพมัมมี่เป็นการใหญ่
ในขณะที่ศ.นพ.มอริส ใจจดใจจ่อที่จะพิสูจน์ว่า จอมราชันย์์ผู้โอหังองค์นี้
เสียชีวิตได้อย่างไร
ศพ ของโรเมสิสที่สองนี้
มีสภาพที่แตกต่างจากศพฟาโรห์อื่นๆ ที่มีการชันสูตรก่อนหน้านี้
เพราะลักษณะการสิ้นชีวิตของฟาโรห์องค์นี้แปลกพิสดารมาก
ขณะทีี่ทีมแพทย์์แกะผ้้าพันศพออก
พวกเขาต้้องตระหนกตกใจเมื่อมือซ้ายของมัมมี่นี้ได้ยื่นออกอย่างรวดเร็ว
คล้ายกับว่าผู้ที่ห่อศพได้ออกแรงดันให้มือท้ังสองข้างชิดแนบอกเหมือนศพ
ฟาโรห์องค์อื่นที่สิ้นชีวิตก่อนหน้านี้ ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ ????
ช่วงดึกของคืนหนึ่ง
ศ.นพ.มอริสได้พิสูจน์ผลการทดสอบครั้งสุดท้าย ซึ่งค้นพบว่า
มีเกร็ดเกลือติดอยู่กับศพ ฟาโรห์
หลังจากมีการเอ็กซ์เรย์ เขายังพบอีกว่า
กระดูกของศพได้หักเป็นท่อน ๆ ในขณะที่ผิวหนังไม่มีร่องรอยการฉีกขาดเลย
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นการยืนยันว่าฟาโรห์องค์นี้จมน้ำตายอย่างแน่นอน
เนื่องจากถูกกระแทกด้วยน้ำอย่างรุนแรง ทำให้กระดูกหัก แต่ผิวหนังไม่ฉีกขาด
หลังจากเสียชีวิต ศพฟาโรห์ องค์นี้ถูกเคลื่อนย้ายออกจากทะเลโดยทันที
หลังจากนั้นประชาชนได้้เร่งรีบห่อศพเป็นมัมมี่เพื่อป้องกันจากการเน่าเปลื่อย
สิ่งที่แปลกกว่านี้ ทีมแพทย์สามารถอธิบายเกี่ยวกับมือซ้าย
ซึ่งฟาโรห์องค์นี้กำลังถือเชือกบังคับม้าหรือดาบด้วยมือขวา
ในขณะที่มือซ้ายถือโล่ห์ และเป็นช่วงที่พระองค์จมน้ำตายพอดี
เนื่องจากอยู่ในอาการตกใจสุดขีด
ในขณะที่มือซ้ายกำลังปกป้องการโหมกระหน่ำของน้ำทะเลอย่างสุดชีวิต ทำให้พระองค์ต้องจบชีวิตในลักษณะนี้
ซึ่งในวงการแพทย์แล้วเป็นที่ทราบกันว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะดึงมือให้แนบอกอีกคร้ัง
อาการ ของศพในลักษณะนี้
เป็็นทีี่ทราบกันดีในวงการแพทย์ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อเหยื่อหรือผู้ตายอยู่ใน
อาการปกป้องชีวิตแบบสุด ๆ เช่นกำลังคว้าเสื้อฆาตกรหรือส่วนอื่น ๆ ในทำนองนี้
แต่สิ่งหนึ่งที่สร้างความประหลาดใจแก่่
ศ.ดร.มอริส คือ .......
ทำไม ? ศพฟาโรห์องค์นี้มีสภาพที่สมบูรณ์กว่าศพฟาโรห์องค์ อื่น ๆ ทั้ง ๆ
ที่ศพฟาโรห์องค์นี้ถูกนำมาจากท้้องทะเล
มอริส บูกายย์
ได้ตระเตรียมเขียนรายงานชิ้นสุดท้ายเกี่ยวกับสิ่งใหม่ที่ตนเองค้นพบ
นั่นคือฟาโรห์องค์นี้ จมน้ำตายในทะเลก่อนที่จะถูกนำขึ้นบก
เขาวาดฝันว่าสื่อทุกแขนงคงให้ความสนใจกับสิ่งที่ตนเองค้นพบอย่างแน่นอน
จน
กระทั่งหนึ่งในทีมแพทยช์ชันสูตรได้กระซิบกับเขาว่า ท่านจะรีบร้อนไปทำไม
ชาวมุสลิมรู้เรื่องฟาโรห์ จมทะเลตายมาก่อนแล้ว อัลกุรอานของพวกเขาได้เล่าเรื่องนี้มาตั้ังแต่
14 ศตวรรษทีี่ผ่านมาแล้้ว
คำพูดนี้ทำให้ ศ.นพ. มอริส แปลกใจมาก
เขาจึงปฏิเสธอย่างแข็งขันว่า ไม่มีทางที่อัลกุรอานจะค้นพบสิ่งเร้นลับนี้ได้
เว้นแต่ต้องอาศัยอุปกรณ์อันทันสมัยและเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีศักยภาพสูงมาก
ยิ่งไปกว่านั้น มัมมี่
องค์นี้ได้รับการค้นพบครั้งแรกเมื่อป 1898 !
ศ.นพ.มอริส รู้สึกแปลกใจยิ่งขึ้น และถามตนเองว่า
ไม่มีทางที่ปัญญาของมนุษย์จะยอมรับคำบอกเล่าของอัลกุรอานในเรื่องนี้ได้
มนุษย์์
ทั้ั้งมวลซึ่งไม่่เพียงแต่่ชาวอาหรับเท่านั้ั้นต่่างก็ไม่่รู้้ด้้วยซ้ำว่่า
ชาวอียิปต์์ยุคก่่อนรู้้วิธีรักษาศพด้้วยการห่่อศพเป็็นมัมมีี่
เว้้นแต่่ก่่อนหน้้านี้เพียงไม่กีี่ร้อยปีีเท่า่นั้ั้น
ศ.ดร.มอ ริส
นั่งเพ่งพินิจศพฟาโรห์ทั้งคืนในขณะที่มันสมองของเขา หวนคิดคำพูดของเพื่อน ๆ ว่า
อัลกุรอานของชาวมุสลิม ได้พูดถึงศพฟาโรห์ที่ถูกนำออกจากทะเลหลังจากจมน้ำ
ใน
ขณะที่คัมภีร์ไบเบิลได้เล่าเพียงการจมน้ำตายของฟาโรห์ช่วงที่ไล่ล่านบีมูซา
เท่านั้น โดยไม่มีการพูดถึงว่าศพฟาโรห์ได้ถูกนำ ณ ที่ใดบ้าง
เป็นไปได้หรือที่ มูฮัมมัด
ของพวกเขารับทราบความจริงนี้มาตั้ังแต่พันกว่า่ ปีีแล้้ว
ในคืนนั้น ดร.มอริสไม่สามารถหลับตานอนได้เลย
เขาได้ส่ั่งให้ผู้ช่วยของเขานำคัมภีร์์โตราห์์ และเขาได้้อ่านตอนหนึึ่ง
ความว่่า“และแล้วน้ำก็ได้โถมเข้า้ใส่
ทำให้เหล่าทหารม้าของฟาโรห์จมใต้ทะเล ไม่มีใครรอดชีวิตแม้เพียงคนเดียว”
ดร.มอ ริส ยังคงแปลกใจอยู่่ว่่า
แม้้กระทั่งไบเบิลก็ไม่เคยพูดถึงศพของฟาโรห์ว่าถูกรักษาไว้อย่างดี
คัมภีร์โตราห์ก็เช่นเดียวกัน ไม่ได้้กล่าวถึงรายละเอียดจุดจบของศพ ฟาโรห์เ์ลย
หลังจากการตรวจชันสูตรสำเร็จไปด้วยความเรียบร้อย
รัฐบาลฝรั่งเศสก็ส่งคืนมัมมี่ฟาโรห์กลับคืนไปยังอียิปต์
แต่ ความรู้สึกของ ดร. มอริส
ยังคงว้าวุ่นกระวนกระวาย
หลังจากที่เขาทราบว่าชาวมุสลิมรู้มาก่อนหน้านี้ว่าศพฟาโรห์ถูกเก็บรักษา
อย่างปลอดภัย
เขาจึงจัดแจงสัมภาระ และตัดสินใจเดินทางไปยังประเทศมุสลิม
เพื่อขอพบกับบรรดาศัลยแพทย์มุสลิม
ณ ที่นั่น
เขาได้มีโอกาสพบปะพูดคุยกับศัลยแพทย์มุสลิม
พร้อมทั้งเล่าสิ่งที่เขาค้นพบเกี่ยวกับศพฟาโรห์ที่ถูกเก็บรักษาไว้เป็นอย่าง
ดีหลังจากจมน้ำตาย หนึ่งในศัลยแพทย์มุสลิมได้้ลุกขึ้น พร้้อมเปิิดอัลกุรอานและอ่่านพจนารถของอัลลอฮฺว่า
“ดัง นั้น
วันนี้เราจะให้ร่างของเจ้ารอดพ้นจากทะเล
เพื่อจักได้เป็นสัญญาณแก่ชนรุ่นหลังจากเจ้า
และแท้จริงส่วนใหญ่ของมนุษย์เฉยเมยต่อสัญญาณต่า่ง ๆ ของเรา” (ยูนุส / 92)
อายะฮฺนี้ทำให้เขาต้องตะลึงแน่นิ่ง
หัวใจเต้นระรัวด้วยความประหลาดใจ เขาได้ลุกขึ้นยืนท่ามกลางสายตาผู้คน
พร้อมป่าวตะโกนเสียงก้องว่า ฉันขอประกาศรับอิสลาม และฉันศรัทธาต่ออัลกุรอานนี้
ดร. มอริส บูกายย์
ได้กลับสู่ประเทศฝรั่งเศสในสภาพที่ต่างจากช่วงที่เขาออกมาอย่างสิ้นเชิง
หลัง จากนั้น
เขาจึงได้ทุ่มเทเวลานานนับสิบปีศึกษาวิจัยความสอดคล้องของวิทยาการและการค้น
พบทางวิชาการยุคใหม่กับเนื้อหาที่ปรากฏในอัลกุรอาน
นอกจากนี้
เขายังใช้ความพยายามค้นหาข้อผิดพลาดทางวิชาการที่อาจมีอยู่ในอัลกุรอาน
แต่เขาก็ไม่เจอะเจอ แม้เพียงเรื่องเดียว
และแล้้ว
เขาก็ต้้องยอมจำนนกับพจนารถของอัลลอฮฺทีี่ได้้ดำรัสความว่า
“ความ
เท็จจากข้างหน้าและจากข้างหลังจะไม่สามารถย่างเข้้าไปสู่อัลกุรอานได้้ (เพราะ)
เป็็นการประทานจากพระผู้้ทรงปรีชาญาณ ผู้ทรงได้รับการสรรเสริญ”
ผล พวงจากความทุ่มเทตลอดระยะเวลาสิบปีนี้ ทำให้
ดร.มอริส สามารถผลิตผลงานชิ้นเอกที่พูดถึงความมหัศจรรย์ของอัลกุรอาน
ซึ่งได้รับการกล่าวขานอย่่างกว้้างขวางในประเทศยุโรป
และทำให้้วงวิชาการทั่วโลกต้องสั่นสะเทือน
ตำราที่ท่านได้เขียนไว้้มีชืื่อว่่า “คัมภีร์ไบเบิล คัมภีร์กุรอาน และ
วิทยาศาสตร์”
ผู้ เขียนได้ศึกษาบรรดาคัมภีร์อันประเสริฐ
โดยการใช้ความรู้สมัยใหม่มาเปรียบเทียบ เป็นหนังสือที่มียอดจำหน่ายสูงสุดเล่มหนึ่ง
จนกระทั่งขาดตลาดในเวลาอันรวดเร็ว และได้รับการต้อนรับอย่างดีในยุโรปและอเมริกาจนกระทั่งปัจจุบัน
มี
นักวิชาการบางคนที่อัลลอฮฺได้ปกปิดดวงใจและนัยน์ตาของเขามิให้มองเห็น สัจธรรม
ได้พยายามตอบโต้หนังสือเล่มนี้ แต่พวกเขาไม่ได้้เขียนอะไรเลยเว้้นแต่การโต้้แย้้ง
ที่เต็มไปด้วยความอคติและความพยายามอันสูญเปล่า ที่บรรดาชัยฏอนได้ดลใจให้แก่พวกเขา
สิ่ง ที่แปลกกว่่านี้มีนักวิชาการตะวันตกบางคน
ได้้เตรียมการที่จะตอบโต้หนังสือเล่มนี้
แต่หลังจากที่ได้อ่านหนังสือนี้อย่างลึกซึ้งและพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วน แล้้ว
นักวิชาการเหล่านี้กลับกล่าวคำปฏิญาณตนและประกาศรับอิสลามเสียเอง
คุณรู้จัก ศ.ดร.มอริส บูกายย์์ ดีแค่ไหน ?
มอ ริส บูกายย์ เป็นชาวฝรั่งเศส เกิดเมื่อ 19 July 1920 เติบโตจากครอบครัวที่เป็นคริสเตียนนิกายออร์ทอด็อกส์
เป็นศัลยแพทย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในฝรั่งเศสเขา้ รับอิสลามเมื่อปี 1982
คัมภีร์ ไบเบิล คัมภีร์อัลกุรอาน และ วิทยาศาสตร์
เป็นงานชิ้นเอกของ มอริส บูกายย์
ซึ่งเขียนขึ้นหลังจากการค้นคว้าหาข้อมูลอย่างยาวนาน ทั้งจากคัมภีร์ไบเบิล
อัลกุรอานและแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ บูกายย์
ได้ทุ่มชีวิตให้กับการเรียนรู้อิสลามด้วยการศึกษาภาษาอาหรับ
และคัมภีร์อัลกุรอานอย่างมุ่งมั่นก่อนที่จะสรุปว่า
“ ในชีวิตนี้ ผมไม่เคยพบความสอดคล้องระหว่างศาสตร์และศาสนาเลยจนกระทั่งผมได้ศึกษาอัลกุ
รอาน
ในทัศนะอิสลามแล้วศาสนาและความรู้้เป็็นคู่่แฝดทีี่ไม่่สามารถแยกออกจากกัน
ได้เลย ”
หนังสือเล่มนี้ได้รับการแปลไม่น้อยกว่า 17 ภาษา รวมทั้งภาษาไทยที่แปลโดย ดร.กิติมา
อมรทัต ปรมาจารย์ด้านการแปล ผู้ล่วงลับไปแล้ว ได้ผ่านการตีพิมพ์แล้ว จำนวน 3
ครั้ง (2542 2546 และ2551 ตามลำ ดับ) โดยสำนักพิมพ์์อิสลามิคอะเคเดมี
มอริส ยังได้กล่าวอีกว่า
“อัล
กุรอานสอดคล้องกับข้อมูลวิทยาศาสตร์สมัยใหม่อย่างลงตัวที่สุดความรู้สมัย
ใหม่ทำให้เ้ราเข้าใจโองการ หลายโองการในอัลกุรอาน
ซึ่งไม่สามารถตีความได้จนกระทั่งบัดนี้”
มอริส กล่า่าวว่า่
“หาก มีการอ้้างว่่า
อัลกุรอานเป็็นตำาราทีี่เขียนโดยมนุษย์์แล้้ว
เป็็นไปได้้อย่่างไรทีี่มนุษย์์์์ซึึ่งมีชีวิตในศตวรรษทีีีี่ 7 จะมีความรู้้้้อย่่่่างแตกฉานและถูกต้้องแม่่นยำในเนื้อหาวิชาการทีี่ไม่่
เคยเกิดขึ้นในยุคของเขา”
มอริสยังเสริมอีกว่า
“สัมผัส
แรกที่เราสามารถรู้สึกได้หลังจากศึกษาอัลกุรอานแล้ว คือ
ความน่าทึ่งของเนื้อหาอัลกุรอานทีี่เต็มไปด้้วยสาระข้้อมูลทางวิชาการมากมาย
ในขณะที่ในคัมภีร์โตราห์ มีเนื้อหาที่เต็มไปด้วยความผิดพลาดและไม่สามารถยอมรับได้ในวงวิชาการ
แต่ในอัลกุรอาน เราจะไม่พบความผิดพลาดในลักษณะนี้แม้เพียงเรื่องเดียว”
มหาบริสุทธิ์แด่อัลลอฮฺ
ซึ่งได้กล่าวว่า
“และหากปรากฏว่าพวกเจ้้าอยู่ในความแคลงใจใดๆ
เกี่ยวกับอัลกุรอาน
ที่เราได้ประทานลงมาแก่บ่าวของเราแล้ว
ก็จงนำมาซูเราะฮฺหนึ่งเยี่ยงอัลกุรอานนี้
และจงเชิญชวนผู้ที่อยู่ในหมู่พวกเจ้านอกจากอัลลอฮฺเป็นประจักษ์พยาน
หากพวกเจ้าเป็นผู้พูดจริง”
มนุษย์ ทั้งมวล
ไม่ว่ามุสลิมหรือไม่ใช่มุสลิุมก็ตาม ต่างก็ได้อ่านหรือได้ยินคำ
ประกาศที่อหังการและท้้าทายสติปััญญาของมนุษย์์ทีี่สุด มาในลักษณะนี้ตั้งแต่ 14 ศตวรรษแล้ว
แต่ยังไม่มีใครสักคนที่หาญกล้าตอบรับคำท้าทายนี้ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
จนกระทั่งวันกิยามะฮ์
อัล กุรอาน
คือคัมภีร์ที่อัลลอฮ์ทรงประทานลงมา เป็นเพราะความมหัศจรรย์ที่เหนือคำบรรยาย
ที่สามารถยืนยันในสัจธรรมของ นบีมูฮัมมัด ที่มนุษย์สามารถใช้สติปัญญาพิสูจน์ไ์ด้
ความว่า "อะลิฟ ลาม มีม คัมภีร์นี้ ไม่มีความสงสัยใดๆในนั้น
เป็นทางนำสำหรับบรรดาผู้ยำเกรงเท่า่นั้น"
“ดัง นั้น
วันนี้เราจะให้ร่างของเจ้ารอดพ้นจากทะเล
เพื่อจักได้เป็นสัญญาณแก่ชนรุ่นหลังจากเจ้า
และแท้จริงส่วนใหญ่ของมนุษย์เฉยเมยต่่อสัญญาณต่่าง ๆ ของเรา” (ยูนุส / 92)
อายะฮฺนี้ นำความจริงให้แก่เราอย่า่งน้อย 3 ประการ
1) ศพฟาโรห์ถูกรักษาเป็นอย่างดี
ไม่เน่าเปื่อยในทะเลเหมือนศพอื่น ๆ
2) เป็็นสัญญาณในเดชานุภาพของอัลลอฮฺสำหรับผู้้ศรัทธา
3) คนส่วนมากจะเมินเฉยกับสัญญาณของอัลลอฮฺ
ดังกรณีศพฟาโรห์นี้ที่คนส่วนใหญ่ดูเป็นเรื่องราวที่เกียวเนื่องกับธุรกิจการ
ท่องเที่ยวเชิงโบราณคดี มากกว่าที่จะเป็นสัญญาณแห่งความปรีชาของอัลลอฮฺ
อ.มัสลัน มาหะมะ แปลเเละเรียบเรียง
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา
ที่มา http://www.ansorimas200.blogspot.com/2013/07/blog-post_22.html?m=1




.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น